หากพูดถึงแบรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (xEV) ที่มีรถยนต์ครอบคลุมทั้งแบบไฮบริด (HEV) ไฮบริดแบบเสียบปลั๊กชาร์จได้ (PHEV) รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% (BEV) ในตลาดประเทศไทยแล้ว ชื่อของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) แบรนด์รถยนต์ยักษ์ใหญ่จากจีนจะเป็นชื่อที่ผู้บริโภคในประเทศไทยนึกถึงเป็นชื่อแรกอย่างแน่นอน และเส้นทางในการเดินทางมาสู่ Top of Mind Brand อย่างในวันนี้ของ GWM ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย และมีหลายเรื่องที่ GWM เป็นผู้บุกเบิกในตลาดรถยนต์ของประเทศไทย Key Success หลาย ๆ เรื่องที่ GWM ทำสำเร็จคืออะไร และหลังจากนี้ก้าวต่อไปของ GWM จะเป็นอย่างไร เราจะมาหาคำตอบกันในบทความนี้
GWM กับ Global Ecosystem ที่แข็งแกร่ง
แม้ GWM จะเริ่มคุ้นหูชาวไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีนแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1984 ดำเนินธุรกิจยาวนานมาแล้วถึง 40 ปี โดย GWM นับเป็นบริษัทหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของจีนบริษัทแรก ๆ ที่ส่งออกรถยนต์สู่ตลาดโลกเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1997 ก่อนที่จะก้าวไปเปิดโรงงานประกอบรถยนต์นอกประเทศครั้งแรกในปี 2005 นับเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง Global Ecosystem ที่แข็งแกร่งซึ่งปัจจุบัน GWM อยู่ในยุคของกลยุทธ์ระยะที่ 4 ที่เรียกว่า One GWM การพัฒนาธุรกิจต่างประเทศให้มีคุณภาพระดับสูงภายใต้ GWM ที่เป็นหนึ่งเดียว
การสร้าง Global Ecosystem ที่แข็งแกร่งของ GWM ทำให้ในปัจจุบัน GWM มีโรงงานผลิตรถยนต์ 13 แห่ง โดยมี 3 แห่งเป็นโรงงานผลิตเต็มรูปแบบในประเทศบราซิล รัสเซีย และประเทศไทย โดยในปีที่ผ่านมามีการขยายไปสู่ประเทศปากีสถาน เอกวาดอร์ และเริ่มก่อสร้างโครงการใหม่ในมาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายและการขายแล้ว 700 สาขาทั่วโลกใน 170 ประเทศ โดย GWM นับเป็นบริษัทที่ขยายตลาดไปยังภูมิภาคอาเซียนได้ครอบคลุมมากที่สุดถึง 9 ประเทศได้สำเร็จ
ความสำเร็จของการสร้าง Global Ecosystem พิสูจน์ด้วยตัวเลขรายได้ในปี 2023 ที่ผ่านมาที่สูงถึง 8.4 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อนหน้า กำไรสุทธิสูงถึง 354,000 ล้านบาท ส่วนยอดขายรถยนต์ทั่วโลกทำได้ถึง 1.23 ล้านคันเพิ่มขึ้นจากปี 2022 และนับเป็นปีที่ 8 แล้วที่ GWM ทำยอดขายทะลุ 1 ล้านคันทั่วโลก โดยหากนับตลาดต่างประเทศอย่างเดียวทำยอดขายได้มากถึง 316,000 คัน เพิ่มขึ้น 82% เมื่อเทียบกับปี 2022 ตัวเลขเหล่านี้นับเป็นข้อพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของ GWM ในระดับสากล และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้สร้างความสำเร็จในประเทศไทยได้ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี
บุกตลาดไทยด้วยเป้าหมาย “9 in 3” มีรถพลังงานไฟฟ้าครอบคลุมเกือบทุก Segment
หนึ่งในประเทศที่ GWM บุกเปิดตลาดและเป็นหนึ่งในประเทศที่ช่วยให้ Global Ecosystem ของ GWM แข็งแกร่งยิ่งขึ้นก็คือประเทศไทย โดย GWM เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2021 พร้อมกับประกาศเป้าหมายที่มีความท้าทายนั่นก็คือการเปิดตัวรถยนต์ 9 รุ่นใน 3 ปีหรือ “Mission 9 in 3” พร้อม ๆ กับการลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์เป็นครั้งแรกที่จังหวัดระยอง
GWM เริ่มต้นเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกในปี 2021 อย่าง HAVAL H6 รถยนต์ compact SUV และเปิดตัว ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์ ก่อนจะตามมาด้วย HAVAL Jolion ในปีเดียวกัน ในปี 2022 มีการเปิดตัวรถยนต์ 2 รุ่นด้วยกันนั่นก็คือ ORA Good Cat GT และ HAVAL H6 PHEV พร้อมกับการฉลองการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า xEV ครบ 10,000 คันที่โรงงานอัจฉริยะ จังหวัดระยอง และยังเป็นปีที่ ORA Good Cat ทำสถิติเป็นรถยนต์ที่มียอดจดทะเบียนสูงที่สุดในประเทศไทย เป็นระดับ Top ของตลาดเลยทีเดียว
ในปี 2023 ที่ผ่านมา GWM ยังพัฒนาต่อเนื่องเปิดตัวรถยนต์ออฟโรดระดับพรีเมียมออกสู่ตลาดภายใต้แบรนด์ GWM TANK โดยเปิดตัว 2 รุ่นด้วยกันคือ GWM TANK 300 และ GWM TANK 500 พร้อมกับเปิดตัว HAVAL Jolion Sport HEV
และล่าสุดกับ ORA 07 รถยนต์รุ่นที่ 9 ที่เปิดตัวเมื่อปลายปีที่ผ่านมาทำให้ Mission 9 in 3 สำเร็จไปอย่างงดงาม และนั่นก็กลายเป็นเป็นอีกข้อได้เปรียบของ GWM ที่มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เลือกแบบเกือบครบทุก Segment ทั้งไฮบริด ปลั๊กอิน-ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า 100% ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยที่มีความต้องการที่หลากหลาย
แบรนด์แรกผลิต EV ในไทย ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางผลิต EV ระดับอาเซียน
ด้วยประสบการณ์การเปิดสายการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ GWM มาแล้วมากกว่า 20,000 คัน ไม่ว่าจะเป็น HAVAL H6, HAVAL JOLION, HAVAL H6 PHEV ร่วมไปถึง TANK ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ GWM จะเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์แรกที่ทำให้ผลิต New ORA Good Cat ในประเทศไทย ที่โรงงาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด อ.ปลวกแดง จ.ระยอง เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา
นอกจากทาง GWM จะได้รับประโยชน์จากชิ้นส่วนในประเทศที่ทำให้ต้นทุนของการผลิตรถมีราคาถูกลง ทำให้สามารถจำหน่ายในตลาดประเทศไทยได้ในราคาที่ถูกลง โดยเฉพาะชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง “แบตเตอรี่” ที่คิดเป็นสัดส่วนต้นทุนมากกว่าครึ่งของของต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งคัน โดยมีบริษัท เอสโวลต์ เอเนอร์จี้ ผู้ผลิตแบตเตอรี่ยักษ์ใหญ่พันธมิตรของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ จากประเทศจีน เข้ามาตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เสร็จเรียบร้อยไปก่อนหน้านี้ และพร้อมส่งมอบแบตเตอรี่ป้อนสู่สายพานการผลิตรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่าง ๆ ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้แล้วตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป
ในส่วนของประเทศไทยเองก็จะได้ประโยชน์ในแง่ยกระดับทักษะและฝีมือแรงงานไทย ยกระดับห่วงโซ่การจ้างงานและการลงทุน และที่สำคัญช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยด้วยการเข้าร่วมในข้อตกลงมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั้งระยะที่ 1 (EV3.0) และ ลงนามในระยะที่ 2 (EV3.5) ต่ออีก 4 ปี เรียกได้ว่าเป็นการวางรากฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่จะสามารถก้าวไปสู่ศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระดับภูมิภาคอาเซียนได้ต่อไปในอนาคต ซึ่งนั่นก็เป็นเป้าหมายของ GWM นับตั้งแต่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเมื่อ 3 ปีก่อนด้วยเช่นกัน
User Centric มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
อีกเรื่องสำคัญที่ GWM เข้ามาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์ในประเทศไทยก็คือ การมี “ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง” ในการทำธุรกิจ สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดก็คือ GWM เป็นแบรนด์แรก ๆ ที่สร้างประสบการณ์ใหม่ในการซื้อรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการจองทดลองขับ การจองซื้อรถยนต์ การส่งมอบ รวมไปถึงการนัดหมายเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการผ่าน GWM application ได้ นอกจากนี้ยังสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์ในประเทศด้วยการ “นโยบายราคาเดียว”หรือ One Price Policy ที่ผู้บริโภคซื้อรถได้ในราคาเดียวกัน ข้อเสนอและโปรโมชันเดียวกันทั่วประเทศ ช่วยขจัด Pain Point ของผู้บริโภคที่ในอดีตต้องเปรียบเทียบราคา หาดีลที่ดีที่สุด และใช้เวลานานก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ ยังขจัด Pain Point ของผู้จำหน่ายที่จะต้องตัดราคากันเพื่อให้ได้ยอดขายมาอีกด้วย ทำให้คนขายสามารถโฟกัสและแข่งขันกันกับการให้บริการลูกค้าได้
New ORA Good Cat รุ่นผลิตในประเทศไทยเองก็สะท้อนจุดแข็งของการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางด้วยเช่นกันเพราะรถยนต์รุ่นนี้สามารถออกแบบปรับเปลี่ยนฟังก์ชันบางอย่างให้ตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้เช่นการ ปรับเปลี่ยนเกียร์แบบหมุนบริเวณคอนโซลกลาง ให้กลายมาเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบก้านที่พวงมาลัย รวมถึงการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยบริเวณคอนโซลกลางหน้ารถให้สามารถชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สายได้เป็นต้น นอกจากนี้ จากการรับฟังเสียงผู้บริโภค GWM ยังได้เพิ่มฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) ที่เป็นระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าจากตัวรถยนต์ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต้องการเข้ามาในรุ่น ULTRA และรุ่น GT เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายอีกด้วย
ยกระดับกลยุทธ์ 2024 ตั้งเป้าสู่แบรนด์ Top 3 ในปี 2026
ด้วยความแข็งแกร่งของ GWM ในหลาย ๆ ด้านทำให้ GWM สามารถส่งมอบรถยนต์สู่ตลาดไทยไปได้แล้วถึง 28,158 คันโดยในปี 2023 ที่ผ่านมาส่งมอบรถยนต์ไปได้มากถึง 12,840 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ถึง 11% ในขณะที่ตลาดรถยนต์โดยรวมลดลงจากปีก่อนหน้า และแน่นอนว่า GWM ยังไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้แต่ยังวางแผนสู่ความสำเร็จต่อเนื่อง ด้วยการตั้งเป้าเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า Top 3 ภายในปี 2026 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า พร้อมกับตั้งเป้ายอดขายในปี 2024 นี้เอาไว้สูงถึง 25,000 คัน ภายใต้กลยุทธ์หลักใน 3 เรื่องก็คือ ผลิตภัณฑ์ การขาย และ บริการหลังการขาย
แกนแรกคือเรื่อง “ผลิตภัณฑ์” ที่ GWM ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนรุ่นที่นำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยจาก 9 รุ่นเป็น 15 รุ่นให้ได้ภายในปี 2025 โดยในปี 2024 นี้จะมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่อย่างน้อย 3 รุ่น รวมถึงแบรนด์ใหม่เข้ามาเป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภคชาวไทยเพิ่มเติมให้ครอบคลุมความต้องการ
อีกเรื่องคือการยกระดับ “การขาย” ที่นอกจากจะยังคงมาตรฐานการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างต่อเนื่อง ขยายศูนย์บริการเพิ่มเป็น 101 แห่งภายใน 2024 รวมไปถึงการมีราคาที่เข้าถึงได้จากการเข้าร่วมมาตรการ EV 3.5 ต่อเนื่องอีก 4 ปีแล้ว ยังขยายธุรกิจให้ครอบคลุม Ecosystem เช่น การต่อยอดธุรกิจฟลีท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มภาครัฐและองค์กรขนาดใหญ่ที่จะมีการจัดซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล โดยในปัจจุบัน GWM มีพันธมิตรมากกว่า 60 ราย ส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากับกลุ่มธุรกิจฟลีทไปแล้วทั้งสิ้น 1,200 คัน
นอกจากนี้ ยังเปิดธุรกิจใหม่ในชื่อ GWM Certified Pre-Own (CPO) ธุรกิจรถยนต์ใช้แล้วคุณภาพดีที่จะตอบสนองทั้งคนที่อยากขายรถหรืออยากได้รถยนต์ใช้แล้วสภาพดีในราคาไม่แพง โดยระบบนี้จะให้บริการผ่านระบบออนไลน์ของ GWM และพาร์ทเนอร์ที่ในปัจจุบันมีอยู่ 60 สาขาทั่วประเทศ โดยล่าสุดขายรถ CPO ไปแล้ว 218 คันโดยสามารถทำราคา Resale ได้มากกว่าราคาตลาดถึง 10% เลยทีเดียว
เช่นเดียวกับ “บริการหลังการขาย” จะมีบริการดี ๆ ที่ยังคงไว้ไม่ว่าจะเป็นบริการรับรถเพื่อเช็คระยะเข้าศูนย์ถึงที่ หรือ Pick Up Delivery on Demand ที่สามารถนัดหมายล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชั่น มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินผ่านแอปพลิเคชั่น GWM ตลอด 24 ชั่วโมง ยาวนาน 5 ปี รวมถึงมีรถสำรองให้ใช้ระหว่างช่อมเป็นต้น และในปี 2024 จะยกระดับบริการหลังการขายเพิ่มขึ้นไปอีกเช่น “GWM Smart Service” ที่จะใช้เทคโนโลยีมายกระดับการบริการที่ศูนย์บริการ “การบริหารจัดการอะไหล่” ที่จะขยายพื้นที่รองรับอะไหล่เพิ่มอีก 7,000 รายการ และการจัดส่งอะไหล่ทำได้เร็วสูงสุดเพียง 3 ชม.เท่านั้น (ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล) รวมไปถึงการยกระดับ “ช่างเทคนิค” ที่จะมีการเปิดศูนย์อบรมแห่งใหม่เพื่อให้ครอบคลุมความรู้ของระบบรถยนต์ไฟฟ้าทุกรูปแบบ รวมไปถึงความรู้เกี่ยวกับการซ่อมบำรุงสถานีชาร์จด้วย
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ GWM ประสบความสำเร็จกับการบุกเบิกตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย สร้างระบบนิเวศและสังคมของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นในประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม และอีกสิ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนก็คือแม้ GWM จะไม่ใช่แบรนด์ที่สร้างยอดขายเติบโตได้อย่างหวือหวา แต่ GWM เป็นแบรนด์ที่สร้างรากฐานเอาไว้ได้อย่างมั่นคงตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา และด้วยกลยุทธ์ในการเดินหน้าในปี 2024 ก็น่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายธุรกิจตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคชาวไทย รวมไปถึงผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในระดับภูมิภาคได้ไม่ยากนัก