ตลาดรถยนต์ของประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งตลาดที่มีความสำคัญในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ตลาดรถยนต์ของประเทศไทยยังได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีจนก้าวสู่การเป็นตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (xEV) ที่สำคัญ เห็นได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างสถานีชาร์จไฟรถยนต์ (Charging Station) และการเข้ามาของค่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมไปถึงจำนวนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ทะยอยออกมาจำหน่ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งในค่ายรถยนต์ที่เติบโตรวดเร็ว หลังการเข้ามาสู่ตลาดรถยนต์ประเทศไทยเพียงระยะเวลาแค่ 1 ปี คงต้องยกให้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย (GWM) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในการปลุกกระแสยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (xEV) ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ด้วยยอดขายทะลุกว่า 4,000 คัน ภาในระยะเวลาเพียง 6 เดือน พร้อมช่องทางการจัดจำหน่ายกว่า 30 แห่ง และจำนวนผู้ดาวน์โหลดและใช้งานแอปฯ GWM กว่า 50,000 ราย
โดย GWM ตอกย้ำกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ทั้ง 4 ด้านในการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจและเติมเต็มระบบนิเวศของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า และด้านประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า และเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 1 ปีที่เข้ามาสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการGWM จึงปรับโฉมโลโก้ใหม่ ที่ได้รับการดีไซน์ล้ำสมัย สะท้อนภาพลักษณ์บริษัทเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลกที่มีความเชื่อมโยงกับผู้บริโภคมากขึ้น
3 รุ่นสู่การสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับวงการยนตรกรรมไทย
ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา GWM ให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงของผู้บริโภคอย่างจริงจัง จนนำไปสู่การเปิดตัวรถยนต์ 3 รุ่น ทั้ง HAVAL H6 Hybrid SUV ที่สามารถครองยอดขายอันดับ 1 ในกลุ่มรถยนต์คอมแพคเอสยูวี ถึง 3 เดือนซ้อนเพียง 1 เดือนหลังจากเปิดตัว (สิงหาคม-ตุลาคม 2564) และยังคงครองความเป็นผู้นำอันดับต้นๆ ในเซ็กเมนต์นี้ ต่อเนื่องด้วย ORA Good Cat รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่สร้างยอดจองทะลุ 10,000 คันภายใน 7 วันหลังเปิดจอง และก้าวสู่หนึ่งในผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% ของไทยทันทีที่มีการส่งมอบ
ตบท้ายด้วยรถยนต์รุ่นล่าสุด All New HAVAL JOLION Hybrid SUV ที่กลายเป็นกระแสในรถกลุ่มเอสยูวี บี และยังคงมียอดสั่งจองเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมานี้ GWM สามารถส่งมอบรถยนต์ทั้ง 3 รุ่นยอดฮิตให้กับผู้บริโภคไปแล้วรวมทั้งสิ้นเกือบ 4,000 คัน นอกจากนี้ยังมีผู้ติดตามผ่านทางโซเชียลมีเดียอีกกว่า 500,000 คน มีผู้ดาวน์โหลดและใช้งานแอปพลิเคชัน GWM กว่า 50,000 ราย รวมถึงยังมีช่องทางจำหน่ายครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ กว่า 30 แห่ง ส่งผลให้มีผู้บริโภคเข้ามาเยี่ยมชมรวมกันมากกว่า 75,000 ราย
ขณะที่ภาพรวมทั่วโลก GWM ในฐานะแบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่สัญชาติจีนได้รับการยอมรับในระดับโลก ด้วยยอดขายทั่วโลกมากกว่า 1.28 ล้านคันในปีที่ผ่านมา ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ทั่วโลกเชื่อมั่น GWM พร้อมยกระดับประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นยิ่งกว่าให้กับผู้บริโภคชาวไทย เพื่อเป็นอีกหนึ่งพลังในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน
กลยุทธ์ 4 ด้านก้าวสู่ปีที่ 2
สำหรับก้าวย่างสู่ปีที่ 2 GWM ยังคงไม่หยุดยั้งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคชาวไทย เพื่อก้าวขึ้นไปสู่การเป็นผู้นำด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า พร้อมทั้งสร้างสังคมยานยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย สำหรับปี 2565 นี้ GWM จะมุ่งเน้นให้ความสำคัญใน 4 ด้านเป็นพิเศษ ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า และด้านประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า
โดย 1.ด้านผลิตภัณฑ์ GWM จะดำเนินการภายใต้ภารกิจ Mission 9 in 3 ที่ประกาศจะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 9 รุ่นมาให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดภายใน 3 ปี สำหรับในปีนี้ GWM วางแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอีก 5 รุ่น จาก 3 แบรนด์ โดยหนึ่งในนั้นคือ All New HAVAL H6 Plug-in Hybrid SUV ที่เคยเผยโฉมในงาน Motor Expo เมื่อปลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ทางแบรนด์จะมีการแนะนำรถไฟฟ้า 100% อีก 2 รุ่นจากแบรนด์ ORA เพื่อมาสร้างความคึกคักและตอบรับกับนโยบายการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาล ส่วนอีก 2 รุ่นนั้น จะเป็นรถยนต์รุ่นใดและจากแบรนด์ใด คงต้องคอยติดตามกันต่อไป ซึ่งรถยนต์ทั้งหมดที่จะนำมาเปิดตัวในปีนี้ จะเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งสิ้น
2.ด้านช่องทางจำหน่าย GWM เตรียมขยาย GWM Store ทั้งที่เป็น Direct Store และ Partner Store เพิ่มขึ้นอีก 50 แห่ง เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ ของประเทศ เพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
3.ด้านสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า มีการตั้งเป้าขยายสถานีชาร์จฯ ให้ได้ 55 แห่ง ภายในปี 2565 โดยมี 3 รูปแบบ ทั้งG-Charge Supercharging Station, DC Charge ที่ Partner Store และ Destination Charging Station
4.ด้านประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า ภายใต้แนวทางลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (User-Centric)ซึ่งตั้งเป้ายกระดับประสบการณ์ลูกค้าในหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น การจัดกิจกรรมที่ GWM Experience Center อย่างน้อย 200 กิจกรรมตลอดทั้งปี
การทำโรดโชว์ตามที่ต่างๆ การอัปเกรดเว็บไซต์โดยนำเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) มาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ การพัฒนาแอปฯ GWM เพื่อเพิ่มความสะดวกในด้านบริการหลังการขาย รวมถึงการนำข้อมูลของสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าให้ครอบคลุมถึง 80% ของสถานีชาร์จสาธารณะที่มีอยู่ในขณะนี้ ตลอดจนการจับมือกับแบรนด์ชั้นนำเพื่อผสานความแข็งแกร่งในการส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้ลูกค้า GWM
ผุดสถานีชาร์จครอบคลุมทุกการใช้งาน
ไฮไลท์ที่โดดเด่นของ 4 กลยุทธ์คือ ด้านสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า โดย GWM ได้เตรียมพัฒนาสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าไว้ถึง 3 รูปแบบ ทั้งแบบ G-Charge Supercharging Station สถานีชาร์จขนาดใหญ่ที่ GWM ดำเนินการเอง โดยล่าสุดได้เปิด G-Charge Supercharging Station แห่งแรก ณ สยามสแควร์ ให้บริการชาร์จเร็วด้วยเครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบ DC จำนวน 3 เครื่องชาร์จ หัวชาร์จแบบ CCS Type 2 เครื่องละ 2 หัวจ่าย รวม 6 หัวจ่าย กำลังสูงสุดขนาด 160kW รองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้พร้อมกันถึง 6 ช่องจอด โดยสถานีแห่งนี้ถือว่าเป็นสถานีชาร์จไฟฟ้าแบบ DC ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ แบบ DC Charge ที่ Partner Store การต่อยอดความร่วมมือกับ Partner Store โดยลูกค้าสามารถใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมงทั้ง 7 วัน เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และแบบ Destination Charging Station โดย GWM ได้จับมือกับเหล่าพันธมิตรในการขยายจุดชาร์จตามโรงแรม ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า
การสร้างระบบนิเวศของรถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นเรื่องสำคัญที่ GWM ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทยโดยเร็วที่สุด ดังนั้น สถานีชาร์จของ GWM ทุกแห่งจึงยินดีให้บริการกับรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทและทุกแบรนด์โดยไม่จำกัด ไม่เพียงเท่านี้ GWM ยังมีแผนที่จะสร้าง Mobile Charging Unit หรือรถบริการเคลื่อนที่ในการชาร์จไฟฉุกเฉินให้กับลูกค้า ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยกับบริการนี้ เพื่อลดความกังวลในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า
ปรับโฉมโลโก้ใหม่รับก้าวสู่ปีที่ 2
ไม่เพียงเท่านี้ เพื่อตอกย้ำความตั้งใจที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเคียงข้างร่วมไปกับผู้บริโภคGWM จึงได้ปรับโฉมอัตลักษณ์แบรนด์ พร้อมเปิดตัวโลโก้ใหม่ที่มีความโดดเด่นและเป็นสากล ซึ่งช่วยสื่อถึงความเป็นกันเองกับผู้บริโภคมากขึ้น ด้วยดีไซน์ “G” สไตล์โมเดิร์นสองตัวประกบเข้าหากันอย่างสมมาตร แสดงถึงความสัมพันธ์ที่สมดุลเท่าเทียมกันระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค
ขณะเดียวกันยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบ การเปิดกว้างอย่างไร้พรมแดน และการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของ GWM เพื่อให้ได้มาซึ่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์ผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย GWM จะเริ่มนำโลโก้ใหม่นี้ไปใช้ใน GWM Store รวมถึงตามกิจกรรมสื่อสารการตลาดต่างๆ ของแบรนด์ เพื่อสื่อถึงความเป็นเพื่อนคู่ใจที่พร้อมมอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวก ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้คนไทยตลอดเส้นทาง
GWM ในฐานะ “บริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีระดับโลก” (Global Intelligent Technology Company) ก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยโดยจะยังคงมุ่งมั่นรับฟังเสียงผู้บริโภค และพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมตอบโจทย์ทุกความต้องการ และเคียงข้างเติบโตไปด้วยกันกับลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคม เพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังในการขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเศรษฐกิจไทยให้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน