หนึ่งในแบรนด์ที่มีการใช้กลยุทธ์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน ต้องยกให้ Grab ที่ทุกวันนี้เรามักจะได้เห็นรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าวิ่งส่งพัสดุหรือ Food Delivery อยู่บ่อยๆ จนเริ่มเป็นเรื่องชินตา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการสนับสนุนให้ Rider หันมาใช้รถมอเตอร์ไซค์ EV เพื่อช่วยลดตันทุนของไรเดอร์ และดูเหมือนจะได้ผลซะด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพันธมิตรที่มาเข้าร่วมก็ยังได้ Data การใช้งานจริงเพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการ
และหนึ่งในบริการที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุค EV เต็มรูปแบบ คือบริการเรียกแท็กซี่ ที่ตอนนี้ Grab จับมือกับพันธมิตรด้านรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ Rever Automotive ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ BYD ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในตอนนี้ ขณะที่ฝั่งมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าก็ยังได้พันธมิตรเข้ามาร่วมเพื่อช่วยให้ไรเดอร์หันมาใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สามารถไปถึงเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทั้งไรเดอร์และผู้ขับรถของ Grab ไปสู่ EV ถึง 10% ในปี พ.ศ.2569
เป็นเจ้าของ BYD แค่ 700 บาทต่อวัน
ในด้านผู้ขับรถ Grab มีแผนที่จะเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ธรรมดาไปสู่การใช้รถ EV โดยร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง Rever Automotive ผู้จำหน่ายรถ EV แบรนด์ BYD พร้อมด้วยพันธมิตรอย่าง Moove ผู้ให้บริการด้านสินเชื่อยานยนต์ ในการสร้างโปรแกรม “ผ่อนขับรับรถ (Drive-to-Own)” เปิดโอกาสให้คนขับ Grab สามารถเป็นเจ้าของรถ EV เพื่อให้บริการรับส่งผู้โดยสารได้ง่ายๆ
ง่ายระดับที่ไม่ต้องใช้ประวัติทางการเงิน ไม่ต้องมีเครดิตบูโรก็เป็นเจ้าของรถ EV ได้ โดยจะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจาก Work Score ที่จะดูจากประวัติในการให้บริการกับแกร็บ โดยความพิเศษของโปรแกรมนี้คือสินเชื่อที่มีระยะเวลาผ่อนนานสูงสุด 72 เดือน ที่สำคัญผู้ขับที่สนใจใช้รถ EV ไม่ต้องวางเงินดาวน์และสามารถผ่อนจ่ายได้แบบรายวันผ่านการหักรายได้จากการให้บริการในแต่ละวัน โดยเริ่มต้นที่วันละ 700 บาท
พร้อมด้วยสิทธิประโยชน์เสริมอื่นๆ เช่น ฟรีค่าซ่อมบำรุงรถ รวมถึงครอบคลุมการทำประกันรถยนต์ ประกันสุขภาพและประกันชีวิตให้กับผู้ขับ Grab เป็นต้น โดยโปรแกรมดังกล่าวจะเริ่มเปิดให้สามารถจองรถยนต์ไฟฟ้าจาก BYD ได้ในช่วงต้นปี 2567 และคาดว่าจะทำให้ผู้ขับสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ทั้งสิ้น 5,000 คันภายในปี 2568 โดยมีรถ EV จาก BYD ที่เข้าร่วมโครงการถึง 3 รุ่นทั้ง BYD Dolphin, BYD Atto 3 และ BYD Seal
เช่าจบครบทุกบริการเพียง 125 บาทต่อวัน
ไม่เพียงผู้ขับรถ Grab เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ ด้าน Rider เองก็สามารถเข้าถึงรถมอเตอร์ไซค์ EV ได้ด้วยผ่านโปรแกรม “เช่าครบจบบนแอป (End-to-end EV Bike Rental)” โดยเป็นความร่วมมือกับ 3 พันธมิตรอย่าง STROM, H SEM Motor และ Swap & Go เพื่อให้บริการเช่ารถมอเตอร์ไซค์ EV สำหรับให้บริการจัดส่งอาหารผ่าน GrabFood จัดส่งพัสดุผ่าน GrabExpress หรือรับส่งผู้โดยสารผ่าน GrabBike
โดยผู้เช้าต้องเป็น Rider ให้บริการผ่าน Grab ซึ่งมีอัตราค่าเช่าเริ่มต้นเพียง 125 บาทต่อวัน ครบทุกบริการที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการสลับแบตเตอรีได้ไม่จำกัดรอบตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมจัดหาอุปกรณ์เสริมอย่าง ตะแกรงท้ายสำหรับติดตั้งกล่องใส่อาหารและพัสดุ ที่วางโทรศัพท์มือถือ และสายชาร์จแบตเตอรีสำหรับชาร์จไฟที่บ้านหรือที่สถานีชาร์จ การจัดหารถสำรองให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน รวมถึงสนับสนุนค่าบำรุงรักษารถและการทำประกันรถยนต์ชั้น 3+
นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลให้คำแนะนำตลอดการใช้งาน ซึ่งทั้งหมดไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หมายความว่าจ่ายค่าเช่าวันละ 125 บาท Rider จะได้รับการดูแลรถมอเตอร์ไซค์ EV ฟรี คาดว่าโปรแกรมดังกล่าวจะช่วยให้ Rider ของ Grab สามารถเข้าถึงรถมอเตอร์ไซค์ EV ได้กว่า 3,000 คันภายในปี 2567
เดินหน้า Grab EV เฟส 2 หลังตอบรับดี
เรียกว่าช่วงที่ผ่านมา Grab เดินหน้าโครงการ Grab EV เฟสแรกด้วยการสนับสนุนให้ Rider เปลี่ยนมาใช้รถมอเตอร์ไซค์ EV ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่หลายองค์กร ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน กำลังผลักดันและมีส่วนร่วมเพื่อมุ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้แนวคิด Triple Bottom Line โดยมีเป้าหมายใหญ่ที่ต้องมีจำนวนผู้ใช้รถ EV ให้ได้ 10% จากผู้ขับและ Rider ทั้งหมดภายในปี 2569
ซึ่งจากโครงการในเฟสแรกส่งผลให้ผู้ขับและ Rider เกิดความสนใจและต้องการเปลี่ยนมาใช้ EV สูงถึง 85% โดยในเฟสแรกที่มีการเปลี่ยนมาใช้รถ EV ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์สามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฯ เทียบเท่าการปลูกกต้นไม้ในสวนเบญจกิตติได้ถึง 10 สวน และระยะทางที่รถ EV ใช้วิ่งในเฟสแรกเทียบเท่าการวิ่งรอบโลกได้ถึง 370 รอบ แต่ยังคงมี Pain Point ของผู้ขับอย่าง ราคารถที่ค่อนข้างสูง สมรรถนะของรถที่ไม่ตอบโจทย์การให้บริการ รวมถึงระบบโครงสร้างและสถานีชาร์จที่อาจยังมีไม่เพียงพอ
ความร่วมมือกับ 7 พันธมิตรอย่าง Rever Automotive ผู้จำหน่าย BYD, H SEM Motor, STROM, Swap & Go, Auto Drive EV, EV Station PluZ, และ Moove นอกจากจะช่วยผลักดันให้โครงการ Grab EV บรรลุเป้าหมาย ยังช่วยให้ Grab และ 7 พันธมิตรเข้าใจอินไซต์ของผู้ใช้ EV ผ่านพฤติกรรมและความต้องการจริง รวมถึงปัญหาและข้อจำกัดต่างๆ เพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ทั้งฝั่งผู้ผลิตและจำหน่าย EV ผู้ให้บริการสถานีชาร์จ ผู้ให้บริการระบบบริหารจัดการชาร์จแบตเตอรี รวมถึงสถาบันการเงิน เช่น การระบุตำแหน่งสถานีชาร์จหรือจุดสลับแบตเตอรีในบริเวณที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่น เป็นต้น