หลังสร้างความร้อนแรงให้ตลาดไอศกรีมในไทยที่มีมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาทเมื่อปีที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวของแบรนด์‘กูลิโกะ’ก็เงียบหายไป ด้วยปัญหาความไม่พร้อมเรื่องกำลังการผลิตและช่องทางจัดจำหน่าย ซึ่ง นายคิโยทะคะ ชิมะโมริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กูลิโกะ โฟรเซ่น(ประเทศไทย) บอกว่า ได้แก้ปัญหาดังกล่าวได้แล้ว และจากนี้ กูลิโกะ ก็พร้อมจะกลับมาลุยตลาดไอศกรีมไทยอีกครั้ง
การกลับมาครั้งนี้ เริ่มด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่ เพราะการมีสินค้ามาก รสชาติหลากหลาย เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ โดยช่วงเปิดตัวเมื่อวันที 27 มกราคม 2559 กูลิโกะได้นำสินค้าออกสู่ตลาดด้วยกัน 4 แบรนด์ ได้แก่ พาลิตเต้ มี 2 รสชาติ คือ รสนมและช็อกโกแลต กับ รสนมและไวท์ช็อกโกแลต ,ไจแอนท์ โคน มี 2 รสชาติ คือ รสช็อกโกแลตและถั่วลิสง กับรสช็อกโกแลตและคุกกี้ ,พาแนปป์2 รสชาติ คือ รสสตรอว์เบอร์รี่ กับรสองุ่น และ เซเว่นทีน ไอซ์ 2 รสชาติ คือ รสมิ้นท์-ช็อกโกแลต กับรสวานิลลา-คุกกี้
ส่วนสินค้าใหม่ที่มาเสริมพอร์ตครั้งนี้ ที่เปิดตัวไป ‘ช็อกโกเลต ซีรีส์’ ประกอบด้วย ไจแอนท์ โคน คราวน์ ราคาวางไว้ที่ 35 บาท, เซเว่นทีน ไอซ์ คราวน์ ราคา 25 บาท และ พาแนปป์ รสทริปเปิล ช็อกโกแลต ซันเด ราคา 25 บาท
สำหรับสาเหตุที่เลือก ‘ช็อกโกเลต ซีรีส์’ เป็นพระเอก เนื่องจากผลสำรวจพบว่า ช็อกโกแลตเป็นรสชาติที่คนไทยส่วนใหญ่ชื่นชอบที่สุด และคาดหวังว่า สินค้าตัวนี้เมื่อผู้บริโภคได้ลองแล้วจะเกิดความชื่นชอบจนเกิดความสนใจที่จะทดลองสินค้าตัวอื่นของกูลิโกะด้วย
ขณะที่การทำการตลาดนั้น หลังจากที่ผ่านมาให้ความสำคัญกับสื่อออนไลน์ และสื่อนอกบ้าน จากนี้จะมีการปรับกลยุทธ์เน้นเข้าถึงกลุ่มคนในวงกว้างให้มากขึ้น ด้วยการใช้แมสมีเดีย โดยเฉพาะดิจิทัล ทีวี รวมถึงเลือกใช้ ‘บอย ปกรณ์’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่สื่อสารกับคนกลุ่มแมส
แต่ที่น่าสนใจ คือ การนำเครื่องหยอดเหรียญกดไอศกรีมอัตโนมัติ(Vending Machine)จากญี่ปุ่นจำนวน 2 ตู้เข้ามาให้ผู้บริโภคในไทยใช้เป็นประเทศแรกในเอเชีย (นอกจากที่ญี่ปุ่น) และยังไม่มีแผนจะนำเข้ามาเพิ่มเติม
หลายคนอาจเกิดคำถามว่า ทำไมถึงนำเครื่องหยอดเหรียญกดไอศกรีมอัตโนมัติเข้ามาเพียง 2 เครื่อง
คำตอบก็คือ ทางกูลิโกะ ต้องการใช้เป็นกิมมิคสร้าง Talk of the town และจุดกระแส ‘ตามล่าแล้วแชร์ต่อ’กลยุทธ์ที่เคยใช้แจ้งเกิดในตลาดได้สำเร็จ โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้ ตู้ดังกล่าวจะถูกวางไว้ที่สยามเซ็นเตอร์บริเวณทางเชื่อมบีทีเอสสยาม และชั้น G อีเกีย บางนา จากนั้นจะย้ายไปวางที่พารากอน ซีนีเพล็กซ์ และชั้น 6 โซนพลาซ่าเซ็นทรัล เวิล์ดในเดือนธันวาคม 2560
“เราเชื่อว่า สินค้าเรารสชาติดี คนชิมแล้วต้องมีการบอกต่อ ซึ่งVending Machine จะช่วยในเรื่องนี้ จึงเป็นสาเหตุที่เรานำมา 2 เครื่อง และไม่นำเข้ามาเพิ่ม รวมถึงการเลือกจุดที่วางในจุดที่เป็นศูนย์รวมของคน และเราก็เตรียมวางแผนการตลาดอื่นไว้ด้วย เพราะเราต้องจุดให้ติดแล้วสานต่อ ไม่ให้เงียบเหมือนที่ผ่านมา”นางดวงกมล ชุลิกาวิทย์ รองผู้จัดการทั่วไป กลุ่มการตลาด บริษัท กูลิโกะ โฟรเซ่น(ประเทศไทย)กล่าว
ดังนั้น ต่อจากนี้จะได้เห็นการรุกตลาดอย่างต่อเนื่องของกูลิโกะ ทั้งการออกรสชาติใหม่ การทำโปรโมชั่น ตลอดจนเตรียมปรับแพ็กเกจและปรับรสชาติสินค้า ที่จะเห็นการปัดฝุ่นตั้งต้นปี 2561 เพื่อให้แบรนด์มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขาย
อย่างไรก็ตาม เรื่องช่องทางการจำหน่ายและการกระจายสินค้า ยังถือเป็นโจทย์ทางธุรกิจที่ทางกูลิโกะต้องฝ่าไปให้ได้ โดยนายชิมะโมริ ยอมรับว่า ปัจจุบันยังมีจุดเข้าถึงผู้บริโภคน้อยกว่าคู่แข่ง เนื่องจากเพิ่งเข้ามาในตลาดไม่นาน ซึ่งประเด็นนี้ได้มีการแก้โจทย์ ด้วยการให้ บริษัท จอมธนา จำกัด เจ้าของแบรนด์ไอศกรีครีโม ผู้รับหน้าที่รับจ้างผลิตให้กับกูลิโกะเข้ามาดูแลในเรื่องการกระจายสินค้าและจัดจำหน่ายให้
ปัจจุบันไอศกรีมกูลิโกะ มีตู้วางจำหน่ายในแบรนด์ของตนเองประมาณ 7,000 ตู้ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และในต่างจังหวัด 30 จังหวัด รวมถึงมีการวางจำหน่ายในช่องทางร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ ได้แก่ เซเว่น อีเลฟเว่น,แฟมลี่มาร์ท,ฟูจิ,แม็กซ์แวลู และท็อปส์ คาดว่า จะทำให้สามารถวางจำหน่ายได้ครอบคลุมทั้งประเทศภายในปี 2561
“ทางกูลิโกะต้องการย้ำให้เห็นว่า ไทยเป็นประเทศยุทธศาสตร์ที่ทางบริษัทให้ความสำคัญในการลงทุน เราต้องทำงานอย่างหนัก อย่างที่รู้ตลาดไทยมีการแข่งขันรุนแรง และทุกคนเข้มแข็งมาก เรามีการนำความสำเร็จในญี่ปุ่นมาศึกษา แต่สุดท้ายก็ต้องนำมาพิจารณาว่า เหมาะกับตลาดในไทยหรือไม่”นายชิมะโมริกล่าว
สำหรับการรุกตลาดไอศกรีมในไทยระลอกใหม่ ทางกูลิโกะต้องการมีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 7%จากตลาดรวมไอศกรีมในไทยที่มีมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท และต้องการขึ้นเป็นเบอร์ 3 ของตลาดในไทย ภายใน 5 ปี
ส่วนจะบรรลุเป้าหมายหรือไม่นั้น คงต้องจับตาดูกันต่อไป เพราะการแข่งขันตลาดไอศกรีมไทยก็นับว่ามีรุนแรง ซึ่งปัจจุบันมีผู้เล่นในตลาดจากหลากหลายสัญชาติรวมแล้วกว่า 30 แบรนด์ และคู่แข่งแต่ละรายล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งทั้งสิ้น โดยเฉพาะเบอร์ 1 อย่างวอลล์ ของค่ายยูนิลีเวอร์ ที่แม้ช่วงหลังดูจะเงียบๆไป แต่เชื่อว่า คงไม่ยอมเสียตำแหน่งอย่างแน่นอน