เป็นที่ทราบกันดีว่าในอีก 3-5 ปีนับจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังจะพัฒนาย่างก้าวครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญ นับตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านจากระบบรถยนต์ธรรมดาไปสู่การใช้กล่องคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบต่างๆ ในรถยนต์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีขับเคลื่อนเองอัตโนมัติหรือรถยนต์ไร้คนขับที่กำลังอยู่ในขั้นการทดสอบระบบของหลายๆ ค่ายในเวลานี้
Ford ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก เป็นอีกหนึ่งค่ายที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ ซึ่งฟอร์ดยังได้นำเสนอต่อยอดจากนวัตกรรมดังกล่าว ด้วยการนำเสนอ City Solutionsซึ่งฟอร์ดกำลังทำงานร่วมกับเมืองต่างๆ ทั่วโลกเพื่อช่วยแก้ปัญหาการสัญจรที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งปัญหาการจราจรที่ติดขัดและมลภาวะทางอากาศ
ทีม City Solutions ของฟอร์ดกำลังทำงานร่วมกับเมืองต่างๆ ทั่วโลก เพื่อนำเสนอ ทดลองและพัฒนาโซลูชั่นด้านการสัญจร นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับมูลนิธิ Bloomberg Philanthropies และเครือข่ายนายกเทศมนตรีทั่วโลก โดยฟอร์ดมองว่าเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ซึ่งความสามารถในการแก้ไขความท้าทายด้านการสัญจรต่างๆ เหล่านี้ ทำให้มีโอกาสที่จะสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป
สำหรับเมืองแห่งอนาคตของฟอร์ดให้ความสำคัญกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาการสัญจรในระยะสั้น ซึ่งรวมถึงรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติและรถยนต์ไฟฟ้า การใช้รถยนต์ร่วมกัน การเรียกรถสาธารณะ และรถยนต์ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ กับระบบโครงสร้างพื้นฐานในเมือง เพื่อสร้างระบบนิเวศในการเดินทาง เช่น ถนนสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้สัญจรและสัมพันธ์กับความคล่องตัวของการจราจร หรือการใช้จักรยานและโดรนในการแก้ปัญหาการสัญจรช่วงสุดท้ายสำหรับทั้งคนและสินค้าต่างๆ
โครงการ “เมืองแห่งอนาคต” ระยะสั้น
ในอีก 5 ปีนับจากนี้ฟอร์ดคาดว่า รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจะเริ่มใช้งานในเมืองต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งจะรวมถึงรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติคันแรกของฟอร์ดที่จะเปิดตัวในปี พ.ศ. 2564 ด้วยเช่นกันในขณะเดียวกันยังคาดว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถผลิตรถยนต์ได้จำนวนมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันในระยะเวลาอีก 15 ปีนับจากนี้
การเดินทางร่วมกันจะได้รับความนิยมมากขึ้น เช่น การใช้รถร่วมกันผ่านแอพพลิเคชัน Chariot ของฟอร์ด ที่กำลังจะขยายตัวครอบคลุมทั่วโลก โดยแอพพลิเคชัน Chariot ซึ่งในปัจจุบันกำลังถูกใช้งานในเมืองซานฟรานซิสโก และเมืองออสติน รัฐเท็กซัส และเตรียมจะขยายบริการไปยังตลาดอื่นๆ อีก 8 แห่งในปีนี้ โดยในจำนวนนี้จะมีเมืองในประเทศอื่นนอกจากสหรัฐอเมริกาอย่างน้อย 1 แห่ง
ตามเป้าหมายของวิสัยทัศน์ในระยสั้นนั้น รถยนต์จะสามารถสื่อสารกับโครงสร้างพื้นฐานและจะเติบโตด้วยเช่นกัน โดยคาดว่ารถยนต์จะสามารถเชื่อมต่อกับรถยนต์คันอื่นและระบบขนส่งของเมืองต่างๆ ได้ รวมถึงฟอร์ดจะเตรียมติดตั้งโมเด็มในรถยนต์ของฟอร์ดถึง 20 ล้านคันทั่วโลกใน 5 ปีข้างหน้า เมื่อรถยนต์จำนวน 20 ล้านคันที่กล่าวมานี้ รวมกับรถยนต์จากค่ายรถยนต์อื่นๆ ที่สามารถเชื่อมต่อได้ โครงสร้างพื้นฐานภายในตัวเมืองเองก็จะเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน โดยจะเริ่มจากนวัตกรรมการชาร์จไฟแบบไร้สาย และการเชื่อมต่อระหว่างสถานที่กับรถยนต์ที่ก้าวล้ำมากยิ่งขึ้น เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมอบระบบปฏิบัติการรูปแบบใหม่แก่ตำรวจจราจรของแต่ละเมือง โดยจะเปิดโอกาสให้พวกเขาบริหารจัดการแง่มุมต่างๆ ของระบบการเดินทางในเมืองได้จากศูนย์กลาง รวมถึงความคล่องตัวของการจราจรและการปล่อยมลพิษของรถยนต์
โครงการ “เมืองแห่งอนาคต” ระยะยาว
สำหรับแผนในระยะยาวนั้นฟอร์ดตั้งเป้าให้เมืองแห่งอนาคตเต็มไปด้วยรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้พลังงานไฟฟ้าการขนส่งมวลชนจะพัฒนาขึ้นในเมืองใหญ่ต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ระบบขนส่งความเร็วสูง ด้วยนวัตกรรมอื่นๆ รวมถึงเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับหรือโดรนจะมีบทบาทมากขึ้น เช่น การสำรวจและจัดทำแผนที่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว และสามาถส่งข้อมูลต่างๆ เข้าสู่ศูนย์กลาง
ระบบขนส่งจะมีระบบที่ล้ำหน้าสามารถผสานข้อมูลจากทุกแง่มุมของระบบนิเวศการสัญจรได้อย่างครอบคลุมและราบรื่น โดยระบบนิเวศนี้รวมไปถึงรถยนต์ จักรยานยนต์ จักรยาน โดรนและระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ระบบสัญญาณไฟจราจร มิเตอร์ที่จอดรถ และโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้การติดตั้งเทคโนโลยีขั้นสูงขนาดใหญ่เพื่อจัดระเบียบระบบการจราจรให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำงานร่วมกับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ในการขจัดปัญหาการจราจรติดขัด ลดการปล่อยมลพิษและลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุลงจนเกือบ0% รวมไปถึงการเปลี่ยนถนนให้เป็นพื้นที่สีเขียวและสวนสาธารณะ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและช่วยให้ชุมชนมีสุขภาพที่แข็งแรงยิ่งขึ้น
Copyright © MarketingOops.com