“คุ้ม คุ้ม คุ้ม คุ้ม คุ้ม คุ้ม คุ้ม คุ้ม คุ้ม คุ้ม”
กลายเป็นวลีสุดไวรัลอย่างรวดเร็ว กับผลงานโฆษณาตัวใหม่ของ “ห้าดาว” ที่ไม่ว่าใครก็ทอล์กถึงความแปลกใหม่ของการนำเสนอหนังโฆษณาตัวนี้ ซึ่งร่ายมนต์ผ่าน 4 หนังดังสุด Iconic นำเสนออกมาได้อย่างน่าทึ่งสร้างการจดจำได้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นงานโฆษณาที่สร้างทั้ง Branding และขยาย Product value ได้ไปพร้อมกัน นับเป็นความกล้าของแบรนด์ไทยที่คิดนอกกรอบ หลุดจากแนวคิดเดิมๆ ได้อย่างน่าสนใจ เราจึงต้องขอโอกาสพูดคุยกับตัวจริงผู้อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์อันเฉียบคมนี้ ได้แก่ คุณอังคาร เหลืองนิมิตรมาศ รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด จาก Five Star และที่สำคัญยังเป็นหนึ่งในคนที่เคยพาแบรนด์คนไทยไปคว้ารางวัล Cannes lions ที่ประเทศฝรั่งเศส (จากผลงาน ไก่เชื่อมเจน) มาแล้วด้วย
ธุรกิจอาหารไม่ง่ายในทะเลเรดโอเชียน
คุณอังคาร เริ่มต้นพูดถึงเรื่องการแข่งขันในธุรกิจอาหาร ซึ่งยอมรับว่าประเทศไทยแข่งขันกันสูงมาก และไม่ใช่แค่แบรนด์แต่รวมไปถึงร้านค้าน้อยใหญ่ด้วย “ต้องบอกว่าประเทศไทยเรามันติดท็อปของโลกเลย เพราะเรามีวัฒนธรรมของ Street food ที่แข็งแรงมากด้วย หรือแม้แต่การปรับอาหารไทยเข้ากับอาหารจากต่างประเทศผู้ประกอบการเราก็รวดเร็วมาก แล้วยังมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เพราะฉะนั้นบอกได้เลยว่า การแข่งขันสูงมากอยู่แล้ว ขอใช้คำว่า Red ocean ที่เดือดมาก แล้วยิ่งมากระทบกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ก็เลยยิ่งทําให้การแข่งขันตรงนี้มันเดือดมากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม วิธีการของแต่ละร้านหรือแต่ละแบรนด์ในการแข่งขันก็จะแตกต่างกันไปเพื่อดึงดูดลูกค้า ซึ่งปัจจุบันเราจะเริ่มเห็นว่าส่วนใหญ่ใช้วิธีการของการตั้งราคาที่สูงมาก แล้วมาทำเป็นโปรโมชั่นลดราคาแทน อันนี้เริ่มเห็นค่อนข้างเยอะขึ้นในตลาดแล้ว
จุดเริ่มต้นที่มาของไอเดียโฆษณาที่คุ้มที่สุด
สำหรับไอเดียของโฆษณาที่คุ้มที่สุด ที่ตอนนี้กำลังเป็นกระแสอยู่ในโลกออนไลน์ ภายใต้แคมเปญ “ความอร่อยที่คุ้มเคย” ที่มาของไอเดียเบื้องหลังงานชิ้นนี้ คุณอังคารเปิดเผยว่า โจทย์ของโฆษณาตัวนี้ มาจากสิ่งที่ห้าดาวเราทำมาตลอด 40 ปี นั่นก็คือ การทำให้ทุกบาททุกสตางค์ที่ผู้บริโภคจ่ายให้กับเราคุ้มค่าที่สุด (Value for money) ไม่ว่าจะเป็น ความคุ้มค่าด้านราคา ความคุ้มค่าด้านคุณภาพและความอร่อยของอาหาร และที่สำคัญคือ เรายังคำนึงถึงคุณภาพด้านสุขภาพให้กับผู้บริโภคด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราดำเนินการมาตลอดจนบางครั้งมองว่าเป็นเรื่องปกติที่เราไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องพิเศษ รวมไปถึงการดูแลซัพพลายเออร์ของเราด้วยจะต้องได้รับความคุ้มค่า คุ้มราคา ร่วมไปกับ “ห้าดาว” เติบโตไปพร้อมกัน
และแม้ว่าบางครั้งเราอาจจะต้องเป็นผู้แบกรับเองในภาวะที่สินค้าหรือราคาวัตถุดิบขึ้นราคา หรือสภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก เราจะไม่ตัดสินใจไปที่การปรับเพิ่มราคา แต่เลือกที่จะบริหารจัดการภายในตัวเองก่อน และไม่มีการตั้ง Overprice แต่ตั้งบน Value ของสินค้า ดังนั้น อะไรที่เราช่วยผู้บริโภคได้ก่อนเราจะทำ ไม่ผลักภาระใหม่ รวมถึงผู้บริโภคจ่ายได้บนราคาที่เหมาะสม คุ้มค่าคุ้มราคา แม้ว่าเราเคยเผชิญปัญหาของ food cost ที่ตัววัตถุดิบ สิ่งที่เราทำคือการจัดการให้ลีนที่สุดเพื่อคงราคาให้ผู้บริโภค หรือปรับเพิ่มลดในส่วนที่จะไม่ทำให้กระทบกับการเพิ่มราคา รวมไปถึงไม่มีการลดคุณภาพของสินค้าด้วย
ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยคือ “ไก่จ๊อห้าดาว” ที่เราขาย 5 ชิ้นในราคา 25 บาท เราก็ขายอย่างนี้มาตลอด 15 ปี ในราคาเดิมและต้องมี 5 ลูกเท่านั้น ไม่เคยลดปริมาณเลย ทั้งที่ราคาวัตถุดิบและต้นทุนขึ้นแทบทุกปี หรือแม้แต่เรื่องของขนาดไซส์ไก่ เราขายไก่อยู่ที่ 800 กรัมถึง 1 กิโลกรัม เราขายไซส์นี้มาตลอดตั้งแต่ปี 2554 แต่ปัจจุบันเราเพิ่มขนาดของไก่เป็น 1.2 กิโลกรัม เป็นการขยาย Value เพิ่มปริมาณให้กับผู้บริโภค แต่บางคนอาจจะมองว่าไก่ตัวเล็กลง จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะรูปร่างของไก่แต่ละตัวเขาจะไม่เหมือนกัน บางตัวสูง บางตัวป้อม แต่น้ำหนักเราคงมาตรฐานนี้มาตลอด นี่คือที่มาของการสื่อสารในมิติของคำว่า “คุ้มๆๆๆ” ออกไปผ่านโฆษณาชิ้นนี้
ความคุ้มที่ใส่ใจทั้ง คุณภาพ สุขภาพ และต่อโลก
นอกเหนือจากความคุ้มค่าด้านราคาแล้ว ก็ต้องบอกว่า “ห้าดาว” ยังมีอีกหนึ่งมิติในเรื่องความคุ้มค่า นั่นคือ คุ้มค่า ด้านคุณภาพและการใส่ใจในสุขภาพของผู้บริโภค ซึ่ง คุณอังคารระบุว่า สิ่งที่ “ห้าดาว” เราได้เทคแคร์ผู้บริโภค ไม่ได้มีแค่มิติของการช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ยังรวมไปถึงการใส่ใจเรื่องคุณค่าทางผลิตภัณฑ์ คุณค่าทางอาหารและวัตถุดิบที่ใช้ ไปจนถึงกระบวนการทำให้อาหารอร่อยน่าทาน และกระบวนการเสิร์ฟที่จุดขาย ซึ่งเราเน้นย้ำผู้ปฏิบัติงานว่าต้องตรวจวัดคุณภาพของน้ำมันที่ใช้ปรุงทุกวัน โดยต้องไม่ให้เกิน 25% Polar ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเราก็ทำแบบนี้มาโดยตลอดด้วยการคำนึงถึงสุขภาพของคนไทยทุกคน
และไม่เพียงการใส่ใจในสุขภาพของผู้บริโภค แต่ “ห้าดาว” ยังใส่ใจในการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมด้วย คุณอังคารบอกว่า สำหรับการห่อหุ้มอาหาร หลายท่านน่าจะทราบดีว่าไก่ย่างของเรา เราใช้อลูมิเนียมฟอยล์ในการห่อ ซึ่งเป็น Single material ที่ย่อยสลายได้เอง ไม่ทำให้เป็นขยะตกค้างไว้ในโลกนาน คนอาจจะมองว่าไม่สวยงาม แต่เราใข้อย่างนี้มา 40 ปีแล้วและถ้ามันดีกับโลก เราก็คิดว่าก็จะยังคงใช้ต่อไป เพราะเราก็ให้ความสำคัญเรื่องของ Environmental friendly packaging เช่นกัน
“ทั้งหมดที่เราสื่อสารผ่านโฆษณาชิ้นนี้ คือการที่เราอยากจะบอกกับคนไทยว่า “ห้าดาว” ของเรามอบทั้งความคุ้มค่า ทั้งด้านราคา ปริมาณ และคุณภาพ รวมไปถึงความใส่ใจในการบริหารจัดการในทุกๆ มิติ เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดให้ผู้บริโภค”
“ห้าดาว” กับกลยุทธ์การสื่อสารผ่าน Advertainment
ขณะที่ในแง่ของกลยุทธ์การสื่อสารของโฆษณาตัวนี้ออกมาโดยเรียกว่าเป็น Advertainment นั้น คุณอังคาร เผยถึงเบื้องหลังว่า มาจากการที่แบรนด์ “ห้าดาว” ของเราเป็นแบรนด์ที่จริงใจ ไม่ซับซ้อน ซึ่งอันที่จริงก็มาจากผู้บริหารของ “ห้าดาว” ด้วยที่ทุกท่านก็เป็นคนตรงๆ ในการทำเพื่อผู้บริโภคอย่างซื่อตรง ดังนั้น เราก็เลยวางการสื่อสารออกมาที่ทำให้ถูกใจกับคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่ชอบเรื่องสนุกสนาน Entertainment เป็นหนึ่งในโจทย์ที่เรามอบให้กับทางทีมครีเอทีฟและโปรดักส์ชั่นเฮาส์
นอกจากนี้ ด้วยรูปแบบการสื่อสารปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้ว่าโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลกับผู้บริโภคอย่างมาก ดังนั้น การจะสื่อสารอะไรเราต้องเรียกความสนใจจากเขาอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าไม่ถูกใจหรือไม่ชอบก็สามารถไถฟีดหนีผ่านไปได้เลย ดังนั้น สตอรี่ที่แบรนด์พูดเองหรือที่เรียกว่า Brand talk อาจจะไม่ตอบกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม เราเองก็มีสิ่งที่อยากจะสื่อเป็น Brand message นั่นก็คือความ “คุ้ม” คือคุ้มค่าในมุมต่างๆ ดังนั้น สิ่งที่เราเพิ่มให้ผู้บริโภคไปได้อีกก็คือความสนุกให้กับคนดูในการรับชม ดังนั้น นอกเหนือจากสิ่งที่แบรนด์อยากจะสื่อสาร เราก็ได้คุยกับครีเอทีฟว่า ถ้าเราอยากจะพูดเรื่องความคุ้มค่าแล้ว เราก็ต้องให้คนดูเกิดความสนุกในการรับชมด้วย ทำให้งานออกมาตรงกับสิ่งที่แบรนด์สื่อและถูกใจคนดูด้วย
จากโจทย์สู่การแตกไอเดียให้เห็นเป็นชิ้นงาน
ในส่วนของโฆษณา เราได้คุยกับ คุณพีท-ทสร บุณยเนตร CCO, BBDO Bangkok เอเจนซีแม่งานโฆษณาชิ้นนี้เพิ่มเติม ถึงการแคร็กไอเดียจากโจทย์ที่ได้รับมา ซึ่งคุณพีทเล่าว่า โจทย์ของ “ห้าดาว” คือการ Connect new generation ให้สนใจ และซื้อ “ห้าดาว” ในขณะเดียวกันก็ยังอยากเก็บฐานลูกค้าเก่าไว้ด้วย เราเลยคิด Brand Preposition มาเป็น “ไก่เชื่อมเจน” ซึ่งหลังจากทำงานมา 3 ปีติด เราก็ประสบความสำเร็จในการขยายฐานคอนซูเมอร์ให้ลูกค้าของเราได้สำเร็จ ซึ่งจำได้ว่าตอนที่ลูกค้า (คุณอังคาร) มาบรีฟงานนี้เขาบอกเราว่า “มันสำเร็จแล้วนะครับ” พวกเราก็ดีใจมากๆ
คราวนี้บรีฟปีนี้ มันชาเลนจ์กว่าทุกๆ ปี เพราะหนึ่งคือการฉลองครบรอบ 40 ปี และสองคืออยากเน้นการเพิ่มยอดขาย โดยเฉพาะไก่ย่าง ซึ่งเป็นโปรดักส์ยอดฮิต ข้อสุดท้าย คืออยากได้หนังและแคมเปญ ที่คนดูต้องอยากดูและอยากแชร์ให้เพื่อน เหมือนที่ทำมาตลอด พวกเราเลยกลับไปทำการบ้านมาอย่างหนัก จนมาหยุดที่ประเด็นความ “คุ้ม” เพราะสิ่งที่คอนซูเมอร์ได้รับจากการกินไก่ย่าง ไก่จ๊อ ไก่ทอด ฯลฯ ก็คือ ความคุ้มด้านคุณภาพ ปริมาณ วิธีการทำอาหาร และราคา คราวนี้จะพูดว่า “คุ้ม” มันก็จะกลายเป็นคำที่แบรนด์อื่นชอบพูดนะครับ เลยบวกเอาความ 40 ปี รสชาติที่คุ้นเคย เลยกลายเป็นคำว่า “ความอร่อยที่คุ้มเคย”
ที่มาของการเลือก 4 หนังดังเชื่อมเจน สุดคลาสสิก
“ครบรอบ 40 ปีทั้งที อยากทำงานที่มัน Epic ครับ เรารู้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากดูโฆษณาหรอก เวลาเค้าดู Youtube, TikTok หรือ Facebook เราไม่อยากทำหนังให้มันเป็นโฆษณา แต่อยากให้เป็นหนัง Entertainment ที่ขายความ “คุ้ม” ที่คนไทย “เคย” จำได้มา เราเอาไอเดียไปคุยกับผู้กำกับ คุณเอ๋ สุเนต์ตา จาก Suneta House จนพบว่า ลูกค้าของ “ห้าดาว” มีตั้งแต่ Gen-B จนถึง Gen-z มันมีหนังฟอร์มยักษ์ Epic ที่แต่ละ Generation ชอบไม่เหมือนกัน เลยหยิบเอาซีนจากหนังดัง ตั้งแต่หนัง ไดโนเสาร์หลุดกรง นักรบสปาร์ตัน ซอมบี้เกาหลีบนรถไฟสุดโหด และซีนอีโมชันนอล จากหนังไซไฟสไตล์โนแลน มารวมกัน คราวนี้จะแต่งให้เหมือน แคสต์ให้เหมือน มันไม่ใหม่ แต่ถ้าเราเอาคอนซูเมอร์ที่กินห้าดาวจริงๆ ไปแทนพวกเค้าในซีนขึ้นมาไปแทนเซ็ทติ้งนั้น มันก็จะได้สิ่งใหม่ อันนี้พี่เอ๋ เค้าทำการบ้านมา ซึ่งดีมากๆ เลย พี่เอ๋บอกว่า หนังเรื่องนี้ทั้งเรื่อง ให้คอนซูเมอร์พูดคำเดียว พูดว่า “คุ้ม” เลย มันจะเป็นอภิมหาหนังฮาร์ดเซลล์ที่คนดูอยากดูจนจบ และอยากแชร์กับเพื่อนๆต่อ ส่วนทีมงานพวกผมก็คิดวิธี Amplify หนัง ให้มีมีม จากหนังไปอยู่ในเพจต่างๆ เพื่อช่วยลูกค้าเพิ่มยอดขายไปด้วย”
แล้ววันที่หนังได้ออนแอร์วันแรก เราเห็นยอดเอนเกจเมนต์ Share / Like / Comment / ยอดวิว พวกเราทีมงานและลูกค้าทุกคน ก็โล่งอกเลย 20 ชั่วโมงแรก ที่หนังยังไม่มีการ Boost Ad เนี้ยะ คนดูไป 1.5 ล้าน 1 พันคอมเมนท์ 1 พันแชร์ 11.1 K ไลค์ จำได้เลยว่า ยอดวิวมันวิ่งไปเรื่อยๆ เลย กดเข้าไปดูคนที่แชร์ ส่วนมากก็คือคอนซูเมอร์ทั่วไปจำนวนมาก เชื่อว่างานคงไปโดนต่อมฮาของคน จนถึงวันนี้ ยอดวิวไป 5 ล้าน ยอดแชร์ 2.5 พันแชร์ 70K ไลค์ไปแล้ว
Hard-sell-tertainment โฆษณาขายของที่โดนใจจริตคนไทย
และด้วยยอดวิวและเอนเกจเมนต์สุดปัง ทำให้เราต้องถามต่อว่างานรูปแบบนี้นิยามว่าอะไร คุณพีท ขอเรียกมันว่า Hard-sell-tertainment คืองานขายของ มันก็เอนเตอร์เทนได้นะ ลูกค้าก็ได้ยอดขายด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดของงานโฆษณาให้ทุกวันนี้ คือการทำงานที่จริงใจและเข้าใจคอนซูเมอร์ ขายของได้ แต่ต้องดูว่า Medium อะไรที่ลูกค้าเราจะดู แล้ว Customize ไอเดีย ให้เข้ากับสื่อนั้นๆ งานนี้พวกเราเลือกเฟสบุ๊คกับยูทูปเป็นหลัก เราเลยรู้ว่ากลุ่มคนดู สามารถดู Long-Form ได้ แต่ต้องไม่ยืด ไม่น่าเบื่อ หนังเรื่องนี้ มันเลยเอาความสนุก ฮา เพี้ยน แปลก และสามารถทวิสต์ให้คนดูขนลุก จบแบบน้ำตารื้น และที่สำคัญคือทำให้คอนซูเมอร์อยากไปกิน “ห้าดาว” ในทันทีที่ดู
“ผมยอมรับว่าดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกในห้องตัดหนัง ผมร้องไห้ออกมาเลย ความตลกคือร้องไห้ให้ช็อตไก่ทอดบนจานที่บ้านตอนจบของเรื่อง คนบ้าอะไรร้องไห้ให้กับไก่ทอดบนจานเอาดีๆ”
40 ปีผ่านร้อนหนาว ที่อยู่เคียงข้างคนไทย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ห้าดาว” เป็นแบรนด์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายวิกฤต และเป็นแบรนด์ที่อยู่เคียงข้างคนไทยมาหลายเหตุการณ์จริงๆ แต่ก็ยังยืนหนึ่งในการเป็นอาหารที่รู้ใจคนไทย ทำให้เราต้องถามว่า 40 ของ “ห้าดาว” ทำอย่างไรถึงกลายเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนได้ คุณอังคาร เฉลยให้ฟังว่าเป็นเพราะเราจริงใจและจริงจังในการดำเนินกิจการของเรา โดยเฉพาะการดูแล 2 Stakeholder ที่สำคัญ ได้แก่ “ผู้บริโภค” และ “ซัพพลายเออร์” ให้เติบโตได้ไปพร้อมกัน แน่นอนว่าเราได้ดูแลผู้บริโภค ทั้งมุมของ คุณค่าด้านราคา คุณภาพ และสุขภาพ ซึ่งได้กล่าวไปแล้ว ขณะที่ในฝั่งซัพพลายเออร์ เราก็ต้องให้เขาอยู่รอดได้ด้วย ไม่ว่าจะสถานการณ์ค่าครองชีพสูงหรือต้นทุนอาหารสัตว์แพงเราก็ต้องช่วยกัน
ยกตัวอย่างเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 ทุกคนเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมหมดรวมถึงผู้ประกอบการของเราด้วย สิ่งที่ “ห้าดาว” ซัพพอร์ต คือซัพพอร์ต franchisee เราเอาสินค้าไปส่ง ณ.จุดที่เข้าถึงมากที่สุด (น้ำลึกที่รถยังเข้าไปได้) แล้ว franchisee เอาเรือออกมารับของไป เพราะ เค้าก็หยุดขายไม่ได้เพราะจะขาดรายได้ และในช่วงเวลาวิกฤตินั้น “ห้าดาว” จำหน่ายในราคาปกติ แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายการดำเนินการสูงขึ้น เพื่อซัพพอร์ต ทั้ง franchisee รวมถึงผู้บริโภคเพื่อไม่ต้องแบกภาระในช่วงเวลาลำบากนั้น
รวมไปถึงเรายังเข้าไปช่วยชุมชน ตลาดที่เขาได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมด้วย แล้วก็ยังไม่ลืมที่จะเยียวยาพนักงานของเราเองอีก
หรือเหตุการณ์สำคัญของธุรกิจไก่ ได้แก่ เหตุการณ์หวัดนก ซึ่งถือว่าค่อนข้างกระทบหนักสำหรับผู้ประกอบการและคนทำธุรกิจไก่ เพราะคนไทยไม่ทานไก่เลย จนรัฐบาลต้องออกมารณรงค์ให้ว่าทานไก่สุกได้ ซึ่งตอนนั้นเราก็ต้องเปลี่ยนระบบฟาร์มของเราเป็นฟาร์มปิดทันที รวมไปถึงการเน้นย้ำให้ย่างในอุณหภูมิสูงถึง 200 องศาเซลเซียส เพื่อให้มั่นใจว่าไก่สุกชัวร์ เป็นการที่เราเร่งสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค
ความ “คุ้มค่า” ในแบบห้าดาว ที่จะยึดถือตลอดไปเพื่อผู้บริโภค
ทั้งหมดนี้ น่าจะทำให้พวกเราพอเห็นภาพแล้วว่า 40 ปีของ “ห้าดาว” ยืนหนึ่งเคียงข้างคนไทยได้อย่างไร ดังนั้นในตอนท้ายเราจึงอยากให้ คุณอังคาร ได้สรุปหัวใจสำคัญของคำว่า “คุ้ม” ของห้าดาวให้เราฟังอีกครั้ง
“ห้าดาว คือแบรนด์ที่สะท้อนเรื่องราวการใช้ชีวิตแบบวิถีไทยๆ คือการทานข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน และสามารถแบ่งปันมื้ออาหารร่วมกันได้ และแม้ว่าปัจจุบันนี้ทุกอย่างมันจะเปลี่ยนไป ชีวิตอาจจะเร่งด่วนมากขึ้น แต่เราก็ยังมีบางโอกาสที่ได้มารวมตัวกัน ไม่ว่าจะในวาระใดๆ โดยที่ยังมีอาหารของห้าดาว เป็นเมนูตรงกลางที่ทุกคนได้สามารถมีส่วนร่วมในการแบ่งปันสิ่งที่ชอบร่วมกันได้
ดังนั้น ในบริบทเรื่องของความคุ้มค่า “ห้าดาว” ที่อยู่กับคนไทยและสังคมไทยมาตลอด 40 ปี เราให้ความสำคัญทั้งด้านราคา คุณภาพ รสชาติ และที่สำคัญยังเป็นความคุ้มค่าที่ดูแลในด้านสุขภาพที่เราใส่ใจต่อผู้บริโภคด้วย เป็นสิ่งที่เรารักษามายาวนาน เพราะปลายทางที่สุดแล้ว สิ่งที่เราให้คุณค่าสำคัญที่สุดเลยคือผู้รับประทานและผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการทั้งหมดของเรา เราพร้อมที่จะดูแลกันและกันไปตลอดในฐานะแบรนด์ไทยที่ทำเพื่อคนไทย”