จะมีสักกี่แบรนด์ที่ใจกล้าพอจะหยิบประเด็นความเห็นต่างของคนในสังคมยุคนี้ขึ้นมานำเสนอในแคมเปญหลัก? โดยเฉพาะความคิดเห็นในสายตาคน Gen Z ที่อาจผิดไปจากสิ่งที่คน Gen อื่นปฏิบัติตามมาได้ตลอด เช่นเรื่องอัตราเงินเดือนคนทำงานจบใหม่ที่ Gen Z มองว่าไม่ “make sense” กับค่าครองชีพ ยังมีเรื่องการสมรสเพศเดียวกันที่เท่าเทียมแบบเทียมๆ การตั้งข้อสงสัยว่าเราเรียนกันไปเพื่ออะไร? หรือแม้กระทั่ง sex workers ควรเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายได้แล้ว
ท่ามกลางแบรนด์จำนวนไม่มาก “FINN MOBILE“ ตัดสินใจดึงความท้าทายเหล่านี้ออกมานำเสนอ ให้ประเด็นถูกรับฟังอย่างกว้างขวางขึ้น สะท้อนภาพเป็นแบรนด์ที่กล้าพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ Gen Z เกิดความรู้สึกได้ว่าแบรนด์เลือกยืนข้างลูกค้าจริงๆ ซึ่งสอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกับจุดยืนของแบรนด์ ที่เน้นเรื่องการสนับสนุนการ “ถก” เพื่อรับฟังความเห็นต่าง เพื่อให้เกิดเป็นทางออกที่ดีที่สุดของสังคม เหมือนกับ FINN MOBILE ที่ผ่านการถกมาแล้วจนมีโซลูชันที่ Make Sense สำหรับบริการโทรศัพท์มือถือแบบออนไลน์ 100 %
ดังนั้นใครก็ตามที่กำลังศึกษาเรื่องการวางทัศนคติของตราสินค้า (brand attitude) ให้ชัด อาจสนใจเคสของ FINN MOBILE บริการโทรศัพท์มือถือแบบออนไลน์ 100 % ซึ่งเคลมตัวเองว่าพร้อมให้บริการที่เข้ากับ lifestyle ของคนรุ่นใหม่ การการันตีตัวเองแบบนี้ทำให้ FINN MOBILE สามารถชู core value เรื่องความสะดวกและความคุ้มค่า กลายเป็นแผนสร้าง Branding แบบ “Make Sense” ที่ทำให้โปรดักต์ของ FINN MOBILE โดดเด่นขึ้นอีก
เริ่มจาก brand attitude ที่ชัด
คำว่า Make Sense นั้นเป็นคำที่ FINN MOBILE โฟกัสตามสโลแกนว่า “MAKE ชีวิตให้ MAKE SENSE” สโลแกนนี้ล้อกับ core value ของแบรนด์ที่ชัดเจนมากเรื่องการตอบโจทย์ความต้องการของคนยุคนี้โดยเฉพาะ
brand attitude ที่ชัดทำให้ FINN MOBILE เลือกหยิบไฟฉายมาส่องให้ตลาดเห็นปัญหาช่องว่างระหว่างวัยหรือ Generation Gap ที่ยังคงมีอยู่ในทุกอณูของสังคมไทยซึ่งกำลังเข้าสู่สถานะสังคมผู้สูงอายุ แน่นอนว่าคนทุกรุ่นต่างมีเหตุผล และเลือกมองเห็นสิ่งที่ make sense ในแบบของตัวเอง สำหรับคนรุ่น GEN Z คนรุ่นนี้สามารถเข้าถึงข้อมูล ความรู้ ได้รวดเร็วในขณะที่โลกเปลี่ยนไปไวมาก เด็กรุ่นใหม่จึงมีมุมมองต่อเรื่องต่างๆ ในสังคมด้วยความ make sense ตามยุคสมัยของตัวเอง และมักจะแชร์ความคิดเหล่านี้ผ่านโซเชียลมีเดียของตัวเอง ซึ่ง FINN MOBILE เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่กล้าหยิบประเด็นท้าทายเหล่านี้ออกมานำเสนอให้ประเด็นถูกรับฟังอย่างกว้างขวางขึ้น
สิ่งที่ FINN MOBILE ทำคือการย้ำฐานะบริการโทรศัพท์ที่เกิดมาเพื่อความ make sense ผ่านแคมเปญล่าสุด “#ต่างอย่างMakeSense” ที่มีหนังโฆษณาออนไลน์ชื่อ “อภิปรายไม่ไว้วางใจฉบับ GEN Z” แคมเปญนี้ FINN MOBILE จับมือกับ ‘เขื่อน ภัทรดนัย’ และ ‘URBOYTJ’ ซึ่งเป็นศิลปินคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจมุมมองความคิดของ GEN Z มาเป็นตัวแทนของแบรนด์ในการยืนเคียงข้างความหลากหลายทางความคิดของ GEN Z ซึ่งจะเป็นความคิดเห็นที่ทำให้เกิดความ make sense ต่อไปในอนาคต
ชูโรงแคมเปญด้วยกิมมิก “สภา GEN Z”
background ของแคมเปญนี้มาจากอินไซต์ของคน Gen Z ตัวจริง ที่มองอะไรหลายสิ่งไม่ make sense ในสังคมปัจจุบัน แบรนด์ FINN MOBILE จึงอยากช่วยเป็นกระบอกเสียง และสนับสนุนให้ทุกคนในสังคมรับฟังความเห็นที่ต่างจากธรรมเนียมปฎิบัติเดิมมากขึ้น โดยไม่มองการเห็นต่างเป็นฝ่ายตรงข้าม ตราบใดที่ความเห็นนั้น make sense เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อไปในสังคม
FINN MOBILE จึงมีข้อความตอนเปิดวิดีโอโฆษณาชิ้นใหม่นี้ด้วยคำว่า “อภิปรายไม่ไว้วางใจ ในความ (ไม่) Make Sense” เพื่อย้ำว่า FINN MOBILE ต้องการสนับสนุนความหลากหลาย และเชื่อมั่นกับการให้น้ำหนักกับ “ความเห็นที่แตกต่างหลากหลายในวันนี้” ที่จะนำไปสู่การค้นพบทางออกซึ่ง make sense สำหรับคนรุ่นถัดไป กิมมิกที่ FINN MOBILE ใช้เป็นจุดยืนขอยืนเคียงข้างกลุ่มคนผู้ที่จะกำหนดอนาคต คือ “สภา GEN Z” ที่มีเขื่อน-ภัทรดนัย และ UrboyTJ เป็น 2 สุดยอด moderator แห่งยุคที่ GEN Z พร้อมรับฟัง
กิมมิกสภา GEN Z ในวิดีโอสามารถสะท้อนบทบาทของแบรนด์ได้ดี ว่านี่คือเวลาที่ FINN MOBILE จะสนับสนุนบทบาท 4 ด้านของสังคม นั่นคือการฟังเสียงที่แตกต่าง การอ่านความเห็นที่หลากหลาย การเห็นภาพไกลถึงอนาคต และการพูดในสิ่งที่ make sense ของคนยุคหน้า ทั้งหมดนี้ผสมอยู่ในแคมเปญล่าสุดของ FINN MOBILE ด้วยภาพลักษณ์ว่า FINN MOBILE เองก็สนับสนุนการถกความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย จนมี Solution ที่ Make Sense สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
ในวิดีโอ FINN MOBILE ตั้งแฮชแทคว่า #ต่างอย่างMakeSense และ #Makeชีวิตให้MakeSense โดยชี้ให้ผู้ชมเห็นปัญหาว่าทุกวันนี้คนในสังคมต้องพบเจอเรื่องมากมายที่ไม่สมเหตุสมผล แต่หลายครั้ง สังคมกลับไม่ให้ที่ยืนกับการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างและมักจะผลักกลุ่มคนเหล่านั้นออกไป แต่ที่ FINN MOBILE พื้นที่รับฟังได้ถูกเปิดกว้างด้วยความเข้าใจ และแบรนด์พร้อมยืนข้างความคิดที่แตกต่างเพราะเชื่อว่าการฟังและพูดคุยกัน จะนำไปสู่ความ Make Sense ในยุคต่อไปได้
ผลที่เกิดขึ้นคือแคมเปญนี้ช่วยตอกย้ำ 3 คุณค่าหลักที่ทำให้ FINN MOBILE เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ Make Sense ในชีวิตทุกคน นั่นคือ
- ความคุ้ม ค่าใช้จ่ายที่น้อยแต่ได้รับเน็ตและโทรเยอะมาก ราคาเริ่มต้นเพียง 189 บาท/เดือน
- นอกจากนี้ยังไม่ผูกมัด เพราะอิสระ ไม่มีติดสัญญา ใครลองแล้วไม่ชอบสามารถยกเลิกได้เลย
- ขณะเดียวกันก็ปรับการใช้งานได้ตามใจ เพราะสลับใช้ระหว่างเน็ตไม่อั้น และเน็ต Max Speed ได้ไม่จำกัดแถมเน็ตไม่อั้นยังปรับความเร็วเป็น 20 MBPS (เมื่อก่อนได้แค่ 10 MBPS และเพิ่งปรับแพ็กเกจให้เพิ่ม 2 เท่าเป็น 20 MBPS ในเดือน พ.ค. 65) ทำให้คนใช้ FINN MOBILE มีเน็ตไม่มีวันหมด ด้วยความเร็วเน็ตที่ดูซีรีส์ เล่นเกม และทำทุกกิจกรรมออนไลน์ได้สบาย ทั้งหมดเริ่มต้นแค่ 189 บาท
Make Sense ไปถึงโปรโมชั่น
ไม่ใช่แค่ brand attitude แต่ความ Make Sense ของ FINN MOBILE ยังสะท้อนไปถึง 2 โปรโมชั่นล่าสุด ส่วนแรกคือแพ็กเกจ FINN EXTREME แพ็กสุดคุ้มที่ให้เน็ต Max Speed เยอะ 60GB แถมให้เน็ตไม่อั้นเร็วขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า ที่ความเร็ว 20 Mbps (จากปกติเร็ว 10 Mbps) ให้สลับใช้ได้ไม่มีวันหมด และให้โทรฟรีทุกเครือข่าย 600 นาที ในราคาเพียง 329 บาท/เดือน
นอกจากนี้ FINN MOBILE ยังหยิบอินไซต์เรื่องเงินเฟ้อค่าครองชีพสูงขึ้น มาเล่นด้วยการขอเป็นตัวช่วยด้วย “ค่าบริการเดิมที่ไม่เฟ้อ” ซึ่งเป็นประโยคในหนังโฆษณาที่เปิดตัวเมื่อ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา
FINN EXTREME นั้นเชื่อมกับส่วนที่ 2 นั้นคือบริการย้ายเบอร์เดิมซึ่ง FINN MOBILE ใช้วลีในวิดีโอโปรโมทว่า “ย้ายไปอยู่ในที่ๆ make sense กว่านี้” จุดนี้มีการจัด promotion สำหรับคนที่ย้ายมาใช้ FINN MOBILE ด้วยโค้ดส่วนลด 50% 12 รอบบิล ทุกแพ็กเกจ ส่วนลดนี้ทำให้แพคเกจ FINN Infinite มีความคุ้มค่าที่สุดสำหรับการย้ายเบอร์มาใช้ FINN MOBILE เพราะให้เน็ต Max Speed ไม่อั้น โทรฟรีทุกเครือข่ายก็ไม่อั้น ในราคาเพียง 375 บาท ใครสนใจแพ็ก จะเปิดเบอร์ใหม่หรือย้ายเบอร์มาใช้ FINN MOBILE ก็ทำได้หมด เดือนนี้เท่านั้น
รีบคลิกเลยที่ https://bit.ly/38i4wav
บทสรุปของเคส FINN MOBILE คือ brand attitude และแคมเปญที่ทำรอบนี้มีความกลมกล่อมลงตัวและชัดเจน สอดคล้องกับ product ที่มี 3 แกนจุดเด่นของโปรดักต์ช่วยหลอมออกมาเป็นความ make sense นั่นคือ
- Best value in market การจ่ายคุ้ม
- Up to you No Commit การไม่ผูกมัด
- Your own control การควบคุมการใช้งานได้ตามใจ
ทำให้ FINN MOBILE ขอเป็นเรื่องหนึ่งที่ Make Sense ในชีวิตทุกคน
ต้องบอกว่าการวาง brand attitude เรื่อง make sense ที่ชัดนั้นทำให้แคมเปญมีความสมเหตุสมผลโดนใจกลุ่มเป้าหมายได้จริง ที่สำคัญ FINN MOBILE ยังกล้าพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจ “target” จึงยิ่งทำให้รู้สึกได้ว่าแบรนด์เลือกยืนข้าง target มากขึ้น สอดคล้องกับจุดยืนของแบรนด์เรื่องความ make sense เสริมให้แบรนด์โดดเด่นและแตกต่างอย่างสมเหตุสมผลในที่สุด.