ปฎิเสธไม่ได้ว่ากาแฟเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของคนทำงานกลุ่มใหญ่ในหลายยุคสมัย โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่มนุษย์งานต้องเร่งรีบและบีบคั้นเอาความคิดสดใหม่ออกมาต่อยอดสร้างประโยชน์ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เกิดขึ้นส่งให้กาแฟยิ่งเพิ่มดีกรีความสำคัญในแง่ของการเป็น Booster ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน (Productivity at work) ที่คนรักการดื่มกาแฟต้องบอกต่อกัน จนเกิดเป็นกระแสแนะนำวิธีการดื่มกาแฟและรับคาเฟอีนให้งานเดิน ซึ่งทำได้ง่ายและใช้ได้จริง
กระแส “การดื่มกาแฟให้ได้งาน” กลายเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจยิ่งขึ้นอีกในช่วงที่บริษัทส่วนใหญ่สนับสนุนให้พนักงานทำงานจากบ้านหรือ work from home แบบยิงยาว ภาวะนี้ทำให้พฤติกรรมการดื่มกาแฟที่บ้านเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกัน ตลาดยังมีพัฒนาการเรื่องความต้องการหรือดีมานด์ใหม่ที่น่าสนใจ ผลจากเทรนด์ Anywhere Anytime ซึ่งมีอิมแพคต่อวงการ Working หรือการทำงานที่ต้องเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา นั้นขยับมามีผลกับวงการกาแฟของคนทำงานด้วย
สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ (Do & Don’t) ของการดื่มกาแฟนั้นมีหลายข้อ บางข้อสะท้อนได้ว่าคนจำนวนไม่น้อยดื่มกาแฟผิดวิธีมาโดยตลอด หากดื่มได้ถูกต้องทั้งในแง่พฤติกรรมและปริมาณ กาแฟจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างน่าทึ่งทีเดียว
กาแฟ-การทำงาน เชื่อมโยงกันแบบวิทยาศาสตร์!
การสำรวจมากมายพบความเชื่อมโยงทางวิทยาศาสตร์ระหว่างกาแฟกับประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะกาแฟช่วยให้ผู้ดื่มตื่นตัวมากขึ้น ด้วยการหยุดส่วนประกอบหลักในสมองที่มีผลทำให้ง่วงนอน สารง่วงนี้จะสร้างขึ้นตลอดทั้งวันและลดระดับพลังงานของร่างกาย ซึ่งกาแฟมีผลช่วยให้สารนี้ส่งผลกับร่างกายเราน้อยลง
การสำรวจยังพบว่ากาแฟช่วยเพิ่มพลังการสร้างสรรค์ เพราะความตื่นตัวจากการดื่มกาแฟทำให้ความคิดจิตใจของผู้ดื่มไม่หลงทาง ซึ่งจะเอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์ได้ง่ายกว่า ขณะเดียวกัน กาแฟก็ช่วยให้เรียนรู้สิ่งใหม่ได้เร็วขึ้น ปรับปรุงการเก็บข้อมูล ตื่นตัวรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
คุณสมบัติยอดเยี่ยมของกาแฟเหล่านี้ทำให้ตลาดกาแฟขยายตัว โดยเฉพาะช่วงระบาดใหญ่ซึ่งมีการวิจัยพบว่าผู้คนพึ่งพากาแฟและคาเฟอีนมากขึ้นกว่าเดิม การสำรวจในเดือนกันยายน 2021 ที่ผ่านมาของ Cinch Home Services ที่ได้พูดคุยกับนักดื่มกาแฟมากกว่า 1,000 คนในสหรัฐอเมริกา พบว่า 34% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วงการระบาดใหญ่มากกว่าที่เคยดื่ม โดยกาแฟเป็นตัวเลือกเครื่องดื่มคาเฟอีนยอดนิยม
รายงานพบว่าพนักงานที่ทำงานนอกสำนักงาน ดื่มกาแฟมากกว่าผู้ทำงานในสำนักงาน โดยบริโภคเฉลี่ย 3.1 ถ้วยต่อวัน สูงกว่าสัดส่วนปกติคือ 2.5 ถ้วยต่อวัน ขณะที่ 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่ากาแฟทำให้มีประสิทธิผลมากขึ้นในการทำงาน
สถิตินี้ทำให้เกิดกระแสให้ความสำคัญกับการปรับนิสัยการดื่มกาแฟ เพื่อให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิผลมากขึ้นในขณะที่ทำงานจากบ้าน โดยสำนักข่าว CNBC มีการตีพิมพ์ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ที่แนะนำว่าไม่ควรดื่มกาแฟทันทีที่ตื่นนอน เพราะควรปล่อยให้พลังงานตามธรรมชาติของร่างกายทำงานเต็มที่เสียก่อน แล้วจึงกระตุ้นด้วยการดื่มกาแฟในช่วง 60-90 นาทีหลังจากที่ตื่นนอน
ขณะเดียวกันก็ควรเลือกกาแฟให้เหมาะสม โดยควรใส่ใจกับกาแฟตามฤดูกาลเพื่อให้ได้รสชาติและปริมาณคาเฟอีนที่ดีที่สุด ที่สำคัญคือควรดื่มกาแฟแล้วนอนพัก 20 นาที เป็นที่มาของคำว่า “nappucinos” หรือการหาโอกาสงีบหลับหลังรับประทานกาแฟระหว่างเวลา 14.00-16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายได้รับการกระตุ้นจากคาเฟอีนที่ดื่มไปแบบพอดีเมื่อตื่น ทำให้ผู้ดื่มมีสมาธิกับการทำงานได้ดีกว่าการงีบหลับปกติหรือดื่มกาแฟเพียงอย่างเดียว ดื่มแต่พอดี
แม้จะมีผลข้างเคียง แต่กาแฟสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เมื่อดื่มอย่างถูกวิธี การศึกษาพบว่าใครที่เริ่มดื่มกาแฟมากกว่า 5 ถ้วยต่อวัน หรือคิดเป็นคาเฟอีน 500-600 มก. ร่างกายของคนผู้นั้นจะเริ่มรู้สึกมีคาเฟอีนมากเกินไป แต่ใครที่ได้รับคาเฟอีน 200 มก. พบว่าเป็นกลุ่มที่สามารถระบุชุดคำหรือวลีในการทดลองได้เร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ
สำหรับผลข้างเคียงจากการดื่มกาแฟมากเกินไป สถาบันสุขภาพของสหรัฐอเมริกา Mayo Clinic ตั้งข้อสังเกตว่ามีทั้งอาการหงุดหงิด ปวดท้อง หัวใจเต้นเร็ว กล้ามเนื้อสั่น และกระสับกระส่าย คนที่ไวต่อคาเฟอีนบางคนจะรู้สึกถึงผลกระทบเหล่านี้หากรับประทานกาแฟในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งแต่ละคนจะมีรูปแบบการรับประทานกาแฟที่เหมาะสมแตกต่างกันไป
สำหรับยุคนี้ซึ่งเป็นยุค Hybrid work ที่ผู้คนต้องทำงานทั้งจากออฟฟิศ ร้านกาแฟ และที่บ้าน เทรนด์ที่เกิดขึ้นคือหลายคนต้องมีเครื่องชงกาแฟเป็นของตัวเอง ภาวะการดื่มกาแฟแบบแคปซูลที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันเกิดขึ้นเพราะความสะดวก และจุดเด่นเรื่องการให้รสชาติกาแฟแท้ ซึ่งทุกคนสามารถเสิร์ฟกาแฟรสเยี่ยมที่บ้านได้ไม่ต่างจากคาเฟ่ร้านดัง
หนึ่งในเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติที่เจาะตลาดคนไทย จนกลายเป็นเครื่องชงกาแฟที่ทุกบ้านต้องมีคือ “เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้” (NESCAFÉ Dolce Gusto) เพราะการตอบโจทย์คนดื่มกาแฟ ด้วยความลงตัวของนวัตกรรมและการดีไซน์ เครื่องชงกาแฟแคปซูลและกาแฟแคปซูล NESCAFÉ Dolce Gusto ยังมีเทคโนโลยีที่ทำให้สามารถชงกาแฟสด ชาเขียว และช็อกโกแลตที่มีคุณภาพได้ง่ายและสะดวก แถมยังถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับทุกห้องที่มีเครื่อง Nescafe Dolce Gusto ตั้งอยู่
การพาร์ทเนอร์กับ Starbucks ยิ่งทำให้ Nescafe Dolce Gusto น่าสนใจมากขึ้นด้วย เพราะทำให้ทุกคนสามารถชงกาแฟ Starbucks รับประทานเองได้ที่บ้าน โดยไม่ต้องออกไปเบียดเสียดกับคนอื่น สอดคล้องกับมิติของการดื่มกาแฟที่เปลี่ยนไปท่ามกลางเทรนด์ Anywhere Anytime ด้วยการตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง พร้อมกับพยายามเข้าถึงฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ และคอกาแฟที่มีพฤติกรรมรับคาเฟอีนหลากหลายได้มากขึ้น.