เป็นที่ทราบกันดีว่ายุทธศาสตร์ของ “Disney” นับจากนี้คือ ให้ความสำคัญกับการปลุกปั้นธุรกิจ Streaming โดยใช้ความได้เปรียบของการเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่ มาสร้างแพลตฟอร์ม Streaming ของตนเอง ซึ่งจะทำให้ “อาณาจักร Disney” ครบวงจร ตั้งแต่การผลิต ไปจนถึงการมีแพลตฟอร์มออกอากาศของตัวเอง
ยิ่งในทุกวันนี้ ใครมีแพลตฟอร์มของตัวเอง ยิ่งสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และมีอำนาจต่อรองสูง เพราะมีฐานสมาชิก และสิ่งที่จะได้ตามมาคือ “Big Data” พฤติกรรมผู้ชมที่มีค่ามหาศาล ทำให้ Disney สามารถนำไปวิเคราะห์ และวางแผนสำหรับในการผลิตคอนเทนต์ ทำการตลาด รวมไปถึงต่อยอดต่างๆ ได้
นี่จึงทำให้ Disney ตัดสินใจเข้ามาลุยธุรกิจ Streaming เต็มตัว !! ทั้งการถือหุ้นอยู่ใน “Hulu” อีกหนึ่งผู้ให้บริการ Streaming รายใหญ่ในสหรัฐฯ และการเปิดแพลตฟอร์มของตัวเอง “Disney+”
ทั้งนี้โครงสร้างผู้ถือหุ้นใน “Hulu” ประกอบด้วย 4 ฝ่าย คือ Disney, 21st Century Fox Inc., Comcast และ AT&T ต่อมา Disney ซื้อกิจการ 21st Century Fox เท่ากับว่าได้หุ้น Hulu ส่วนที่ Fox ถือหุ้นไปด้วย นี่จึงทำให้เหลือ 3 ฝ่าย คือ Disney 60%, Comcast 30% และ AT&T 10%
ต่อมา Disney และ Comcast ร่วมกันซื้อหุ้น Hulu 9.5% จาก AT&T ส่งผลให้ “Disney” และ “Comcast” กลายเป็นสองผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Hulu ทันที !!
ความเคลื่อนไหวล่าสุด “Comcast” ทำข้อตกลงร่วมกันกับ “Disney” ที่จะขายหุ้นใน Hulu 33% ให้กับ Disney ในอีก 5 ปีข้างหน้าในมูลค่าขั้นต่ำ 27.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ นั่นเท่ากับว่า “Disney” ได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายเดียวของ Hulu (การซื้อขายหุ้นลักษณะนี้ เรียกว่าสัญญาแบบออปชัน คือ สัญญาระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย ที่ผู้ขายให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในการซื้อ หรือขายสิทรัพย์อ้างอิงภายใต้สัญญาในราคาใช้สิทธิได้ระบุไว้ และภายในระยะเวลา ที่ระบุไว้ในสัญญา ในขณะที่ผู้ขายมีภาระผูกพันต้องปฏิบัติตามสัญญา)
นอกจากสัญญาออปชันแล้ว ข้อตกลงครั้งนี้ ยังได้เปิดทางให้ “Disney” เข้าไปควบคุม และบริหารจัดการธุรกิจ “Hulu” ได้ทันที โดยไม่ต้องรอถึง 5 ปีข้างหน้า
เหตุผลสำคัญที่ “Disney” ต้องการครอบครองกิจการ “Hulu” แบบเบ็ดเสร็จ เพราะการสร้างฐานธุรกิจ Streaming ให้แข็งแกร่ง เติบโตได้เร็ว และสามารถเร่งสปีดได้ทัน “Netflix” ซึ่งเป็นผู้นำตลาด Streaming ระดับโลก ด้วยฐานสมาชิกเกือบ 150 ล้านราย (ในจำนวนนี้กว่า 60 ล้านราย เป็นฐานในสหรัฐอเมริกา) ใน 190 ประเทศทั่วโลก
เพราะฉะนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ “Disney” ต้องใช้วิธี shortcut อีกทางหนึ่ง ด้วยการซื้อกิจการ เพื่อเสริมทัพกับ “Disney+” ที่เป็นแพลตฟอร์มสร้างขึ้นเอง ซึ่งปัจจุบันฐานสมาชิกของ “Hulu” มีจำนวนกว่า 27 ล้านราย จึงเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะทำให้ “Disney” สามารถแข่งขันได้กับ “Netflix” อย่างสูสี
Source : Business Insider
Source : CNN
Source : คำจำกัดความสัญญาออปชัน SET