ทำธุรกิจยุคนี้ แน่นอนว่าเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ธุรกิจไหนไม่ลงทุนกับนวัตกรรม เท่ากับตัดโอกาสตัวเองออกจากการแข่งขัน แต่องค์ประกอบสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ข้อมูล ที่เป็นซูเปอร์เครื่องมือและซูเปอร์สำคัญ! ทำให้กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ปี 2019 ยังคงเป็นปีแห่งดาต้า
เรื่องนี้การันตีด้วยผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเทคโนโลยีและดาต้าอย่าง คุณอโณทัย เวทยากร รองประธานบริหาร เดลล์ อีเอ็มซี ภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งถ่ายทอดเทรนด์เทคโนโลยีเพื่อธุรกิจในปีนี้ไว้ว่า “2019 จะเป็นปีแห่งระบบนิเวศดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล”
ตามที่เดลล์ เทคโนโลยีส์ ได้คาดการณ์อนาคตปี 2030 ว่าจะเป็นยุคแห่งความร่วมมือระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรกล คุณภาพชีวิตแบบ Smart Living และการทำงานแบบ Intelligent Work อย่างเต็มรูปแบบนั้น เราต้องเรียนรู้ถึงแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2019 กันก่อน ว่าการที่โลกจะเข้าสู่ระบบนิเวศทางดิจิทัลที่มีข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อนั้น ทิศทางต่าง ๆ จะเป็นอย่างไร…
ในปี 2018 เราได้เห็นการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของเทคโนโลยี AI, แมชชีน เลิร์นนิ่ง, ระบบอัตโนมัติ (Autonomous Systems) ภายใต้โครงสร้างหลักแบบดิจิทัล (Digital Backbone) ที่องค์กรธุรกิจพยายามวางรากฐานเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ทิศทางในปีนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการเข้าสู่ Digital Ecosystem ที่มีข้อมูลเป็นปัจจัยขับเคลื่อน
“การทำงาน – การใช้ชีวิต จะสมจริงยิ่งกว่าที่เคย”
แนวโน้มที่เกิดขึ้นระดับโลกผู้ช่วยเสมือนจริงยังคงมีให้เห็นกันแพร่หลายในเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภค ทั้งเทคโนโลยีสมาร์ทโฮม ธิงค์ หรือสรรพสิ่งต่าง ๆ จนถึงยานยนต์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยอุปกรณ์ทั้งหมดนี้จะสามารถเรียนรู้ความชื่นชอบของคุณ เพื่อนำเสนอเนื้อหาและข้อมูลในเชิงรุกให้โดยอิงตามการปฏิสัมพันธ์ที่มีมาก่อนหน้านั้น จากความฉลาดของเครื่องจักรผสานเข้ากับสภาพแวดล้อมจริงและวัตถุเสมือน ที่รู้จักกันว่า AR (Augmented Reality) และระบบจำลองเสมือนจริงอย่าง VR (Virtual Reality) เพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริง
นอกจากนี้ ความชาญฉลาดเสมือนจริงจะตามเราไปจนถึงที่ทำงานเช่นกัน ทั้งพีซีและอุปกรณ์ที่เราใช้อยู่ทุกวัน จะเรียนรู้จากอุปลักษณะนิสัยของเราและเตรียมแอปฯ หรือบริการที่เหมาะสมไว้ล่วงหน้าเพื่อตอบสนองต่อการเรียกใช้ได้ทันที รวมถึงความก้าวหน้าในการประมวลผลทางภาษา (Natural Language Processing) และเทคโนโลยีสั่งการด้วยเสียง (Voice Technologies) จะสร้างบทสนทนาเพื่อช่วยให้สื่อสารกับจักรกลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วนระบบออโตเมชันและระบบหุ่นยนต์จะสร้างความร่วมมือกับเทคโนโลยีเพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างลื่นไหลและรวดเร็ว
เข้าสู่สถานการณ์ “ตื่นทอง” ลงทุนเทคโนโลยีเพื่อรอยุคต่อไป
หลายองค์กรเก็บข้อมูลบิ๊กดาต้ามาเป็นเวลาหลายปี แต่ในความเป็นจริงมีการคาดการณ์ไว้ว่าปี 2020 ข้อมูลจะมีปริมาณมหาศาลถึง 44 ล้านล้านกิกะไบต์ ในไม่ช้าองค์กรธุรกิจต่าง ๆ ก็จะเริ่มนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในที่สุดเมื่อการปฏิรูปสู่ดิจิทัลเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และเมื่อสามารถสร้างคุณค่าจากข้อมูลได้มากขึ้น การมีมุมมองเชิงลึกก็จะช่วยขับเคลื่อนไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ และทำให้กระบวนการทางธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้มีการลงทุนในภาคเทคโนโลยีมากขึ้น สตาร์ทอัพรายใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นเพื่อรับมือกับความท้าทายที่ใหญ่ขึ้น
5G จะช่วยให้เราใช้ชีวิตบนเอดจ์ได้ดีขึ้น
อุปกรณ์ชิ้นแรก ๆ ที่รองรับ 5G จะออกสู่ตลาดช่วงปีหน้า พร้อมกับความสามารถในการรองรับเครือข่ายรุ่นถัดไปที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของเกมการแข่งขันด้านข้อมูลอย่างสิ้นเชิง ทั้งเรื่องของความเร็วและความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งเครือข่ายที่ให้แบนด์วิดธ์สูง ความหน่วงต่ำ จะเชื่อมต่อสิ่งต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น อีกไม่นานเกินรอ เราจะเริ่มเห็นไมโคร-ฮับ (Micro-Hubs) เรียงรายอยู่ตามถนน หรือดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดเล็ก (Mini Datacenters) ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสใหม่สำหรับการสร้างข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ให้เกิดขึ้น เป็นการปูทางไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ พร้อมระบบโครงสร้างดิจิทัลที่เราคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตและขยายตัวในปี 2030 ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมหน้าเกมการแข่งขันสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นจะประมวลผลและวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็วในแบบเรียลไทม์เมื่อเทียบกับการส่งข้อมูลข้ามผ่านคลาวด์ไปมา โดยรูปแบบนี้สามารถช่วยให้แชร์ข้อมูลกับผู้ที่ต้องการได้ในทันที
Cloud ยิ่งถูกใช้งานมากขึ้น
ปีที่ผ่านมา มีคาดการณ์ถึงการมาของ Mega Cloud ซึ่งเป็นการนำคลาวด์หลากหลายรูปแบบมาทำงานงานร่วมกัน เพื่อสร้างรูปแบบการดำเนินงานที่ทรงพลังเนื่องจากนโยบายด้านไอทีต้องการการทำงานของทั้งไพรเวท คลาวด์ และพับบลิค คลาวด์ร่วมกัน กระทั่งตอนนี้ ประเด็นการโต้เถียงที่เปรียบเทียบพับบลิค คลาวด์ กับไพรเวท คลาวด์ เริ่มลดน้อยลง เนื่องจากองค์กรธุรกิจเข้าใจดีว่าพวกเขาจำเป็นต้องบริหารจัดการประเภทของข้อมูลทั้งหมดที่แตกต่างกันเพื่อการประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมแบบมัลติ-คลาวด์ ยังช่วยขับเคลื่อนระบบอัตโนมัติ ตลอดจนการประมวลผลของทั้ง AI และ ML ด้วยความเร็วสูง เนื่องด้วยเทคโนโลยีมอบความสามารถให้องค์กรธุรกิจในการจัดการ การเคลื่อนย้ายและการประมวลผลข้อมูลได้ทุกที่และทุกเวลาที่ต้องการ ในความเป็นจริง เราจะเห็นคลาวด์เกิดขึ้นมากมาย เพราะข้อมูลมีการกระจายตัวเพิ่มขึ้น
จากผลการสำรวจ ดัชนีการปฏิรูปสู่ดิจิทัลของเดลล์ เทคโนโลยีส์ (Dell Technologies Digital Transformation Index (DT Index) มีการระบุอย่างชัดเจนว่า 63% ขององค์กรธุรกิจในประเทศไทยมีความตั้งใจที่จะลงทุนเพื่อมุ่งสู่การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานในแบบมัลติ-คลาวด์ ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างขุมพลังและเพิ่มศักยภาพให้กับองค์กรในการ Transformation อย่างมีประสิทธิภาพ
Gen Z จุดประกายการทำงาน
ชาวมิลเลนเนียลกำลังเตรียมที่ทางให้คนรุ่นถัดไป คือ กลุ่มคน Gen Z (คนที่เกิดหลังปี 1995) ก้าวสู่การทำงานภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ทำให้มีคนทำงานที่แตกต่างกันถึง 5 รุ่นด้วยกัน ซึ่งนี่จะก่อให้เกิดประสบการณ์ในการใช้ชีวิตและการใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันอย่างมาก 98% ของกลุ่มคน Gen Z จะได้ใช้เทคโนโลยีที่เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาอย่างเป็นทางการ ซึ่งคนกลุ่มนี้จะจุดประกายวิวัฒนาการใหม่ให้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อการทำงาน
ซัพพลายเชนจะแข็งแกร่ง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ในระดับโลก องค์กรที่เชื่อในเรื่องข้อได้เปรียบมากมายจากการดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน อาจดำเนินรอยตามแนวทางของเรา และเริ่มเร่งออกแบบโมเดลธุรกิจที่ไม่ปล่อยของเสียทิ้งไป ด้วยการนำนวัตกรรมใหม่ด้านรีไซเคิล พร้อมวิธีปฏิบัติในแบบ Closed Loop มาใช้ ซึ่งเรื่องนี้ เดลล์ ได้แชร์ต้นแบบในการเปลี่ยนพลาสติกในมหาสมุทรให้กลายเป็นบรรจุภัณฑ์แบบรีไซเคิล และเปลี่ยนเขม่าจากไอเสียของน้ำมันดีเซลให้กลายเป็นหมึกสำหรับการพิมพ์บนกล่อง เรามองเห็นความก้าวหน้าด้านซัพพลายเชนที่สามารถติดตามผลได้ ด้วยการวิเคราะห์ และควบคุมเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อระบุโอกาสที่แม่นยำในการแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้ถูกต้อง บล็อกเชนจะมีบทบาทสำคัญเช่นกันในการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในการจัดหาสินค้าหรือบริการ พร้อมกับรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและการบริการควบคู่กันไป