หลังจากโด่งดังและสร้างชื่อจากไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟอย่าง ‘บลิซซาร์ด’ ถึงเวลา ‘แดรี่ควีน’ บุกตลาดอาหารว่างให้มากขึ้น ตามไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเปลี่ยน พร้อมชู 3 กลยุทธ์ ‘Strategic partner-Strategic location-Customer Satisfaction’ เป็นบันไดความสำเร็จ
‘แดรี่ควีน’ เป็นแบรนด์ร้านอาหารสัญชาติสหรัฐอเมริกาฯ ที่มีประวัติยาวนานถึง 79 ปี และปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการทั่วโลกกว่า 6,800 แห่ง โดยไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟในชื่อ ‘บลิซซาร์ด’ (Blizzard® Treat) เป็นสินค้าที่เปรียบเสมือนหัวหอกและสัญลักษณ์ที่ทำให้คนทั่วโลกรวมถึงคนไทยคุ้นเคยกับแบรนด์ ๆ นี้
สำหรับในไทยแดรี่ควีน มี ‘ไมเนอร์ ดีคิว’ บริษัทในเครือไมเนอร์ กรุ๊ป เป็นผู้นำเข้ามาทำตลาดตั้งแต่ปี 2539 และปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 500 สาขา แบ่งเป็นร้านไมเนอร์ ดีคิวเป็นผู้บริหารเอง 250 สาขา และร้านแฟรนไชส์ 250 สาขา
ส่วนเมนูที่จำหน่ายนั้น แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ประกอบด้วย ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ , ไอศกรีมเค้ก/ไอศกรีมแซนวิช , ฮอทดอก และเครื่องดื่ม ระดับราคามีให้เลือกตั้งแต่ 10 บาทไล่ไปถึง 495 บาท
“ช่วง 5 ปีที่ผ่านมายอดขายเราเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 4% ปัจจัยหลัก ๆ 1. ไลฟ์สไตล์การกินดื่มของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนิยมรับประทานของว่าง เช่น ขนม หรือของหวานกันมากขึ้น และการที่ไทยเป็นเมืองเขตร้อน ทำให้ไอศกรีมเป็นตัวเลือกท็อปฮิตของคนไทย และ 2. การวางกลยุทธ์ที่ชัดเจนสอดรับกับความต้องการของตลาดที่เน้นการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง” นครินทร์ ธรรมหทัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไมเนอร์ ดีคิว จำกัด กล่าว
สำหรับในปี 2562 ทิศทางการบุกของแดรี่ควีนได้เตรียมงบการตลาดไว้ 100 ล้านบาท เพื่อรักษาตำแหน่งผู้เล่นรายหลักในกลุ่มไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟที่ยังมีโอกาสเติบโตได้ดี ควบคู่ไปกับการเตรียมขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น ผ่านการนำเสนอความหลากหลายของเมนูให้มากขึ้น โดยเน้นสร้างความแปลกใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์กลุ่มฮอทดอก และเครื่องดื่มที่มีรสชาติถูกปากคนไทย
การบุกตลาดของว่างมากขึ้นนั้น ทางนครินทร์ ให้เหตุผลว่า เพราะเป็นตลาดที่สร้างยอดขายน่าสนใจ โดยจะเห็นได้ว่า ร้านอาหาร QSR (Quick Service restaurant) ก็ไม่ได้จำกัดการขายเฉพาะเมนูหลักอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็น ‘เบอร์เกอร์คิงส์’ ที่หันมาขายไก่ทอด หรือ ‘เสเวนเซ่นส์’ ที่นอกจากไอศกรีมยังขายบิงซู
“เมนูอาหารประเภทของว่างที่จะออกมาของเรา จะเน้นง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ส่วนจะออกมากี่เมนู เราบอกไม่ได้ บอกได้คร่าว ๆ ว่า จะเพิ่มเป็นเท่าตัว จากปีที่ผ่านมีอยู่ประมาณ 5 เมนู”
วาง 3 กลยุทธ์ชิงตลาด
นอกจากหันมาขยายไลน์และบุกตลาดอาหารประเภทอาหารว่างให้มากขึ้นแล้ว การสร้างการเติบโตของแดรี่ควีน จะเน้นสานต่อ 3 กลยุทธ์สำคัญที่สร้างความสำเร็จให้ ได้แก่ กลยุทธ์ ‘Strategic partner’ การจับมือกับพันธมิตรกลุ่มธุรกิจค้าปลีก และผู้ซื้อธุรกิจแฟรนไชส์ ด้วยการสร้างความแข็งแกร่งผ่านการเพิ่มทักษะ และเทคนิคในการบริหารจัดการธุรกิจให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด
กลยุทธ์ ‘Strategic location’เลือกโลเคชั่นที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย โดยปีนี้มีแผนขยายสาขาเพิ่ม 40 แห่ง เป็นสาขาลงทุนเองและลงทุนอย่างละ 50% ซึ่งจะไม่ได้เน้นขยายสาขาตามสภาพภูมิศาสตร์ แต่จะเน้นเข้าไปอยู่ในทุกโอกาสของลูกค้าให้มากขึ้น เช่น บริการโมบาย ยูนิต หรือ ฟู้ด ทรัคส์ เข้าไปจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในงานอีเว้นท์ต่างๆ เป็นต้น
สุดท้าย กลยุทธ์ ‘Customer Satisfaction’การสร้างความพึงพอใจในทุกความต้องการให้แก่ลูกค้า ด้วยการเสริมบริการเดลิเวอรี่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า และการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ รวมไปถึงการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ เพื่อให้เกิดแบรนด์รอยัลตี้ และแบรนด์แอดโวเคซี่
“ปี 2561 เรามีรายได้ 2,440 ล้านบาท จากแผนที่เราวางไว้จะทำให้เราโตแบบเท่าตัว และมีเป้าหมายว่า ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า จะขยายสาขาให้ครบ 1,000 สาขาทั่วประเทศ”