เชื่อว่าทุกวันนี้ผู้อ่านจำนวนไม่น้อยกำลังสนใจเรื่อง คริปโต เคอเร็นซี่ ( Crypto Currency ) เป็นอย่างมาก เพราะหลายคนบอกว่าเจ้าสิ่งนี้แหละจะป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์ในอนาคต เรื่องสังคมไร้เงินสด วันนี้จึงพามาอัพเดทเรื่องราวในวงการ Crypto Currency กัน แต่ต้องขอบอกเลยว่าอยู่ในช่วงร้อนๆ หนาวๆ เลยก็ว่าได้
สำหรับคนที่สงสัยว่าสิ่งนี้มันคืออะไร จึงขอเล่าคร่าวๆ เกี่ยบกับ Crypto Currency ว่ามันคือ “สกุลเงินดิจิทัล” ที่ใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อ-ขายในแบบดิจิทัล มีความเป็นอิสระจากภาครัฐ ไม่มีธนาคารเป็นคนกลางในการแลกเปลี่ยน แต่จะใช้วิธีตรวจสอบกันเองในระบบ ทุกคนที่อยู่ในระบบจะมีข้อมูลจำนวนเงินดิจิทัลของทุกคน แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวนะ เพราะมันจะถูกปกปิดเป็นความลับจากระบบ ซึ่งจะมีลักษณะตรงกันข้ามกับ เงินกระดาษ ( Fiat Currency ) เช่น เงินบาท เงินดอลล่า หรือเงินปอนด์ เป็นต้น เนื่องจากเงินกระดาษขึ้นอยู่กับประเทศนั้นๆ เป็นคนกำหนดมูลค่า รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลให้เกิดเงินแข็งค่าและเงินอ่อนตัวตามมานั่นเอง
ทั้งนี้ มูลค่าของ Crypto Currency จะขึ้นอยู่กับความต้องการโดยแท้จริง ( demand-supply ) ยิ่งมีความต้องการมาก มูลค่าก็จะยิ่งสูงขึ้น เนื่องจากซัพพลายมีอยู่อย่างจำกัด ปัจจุบันสกุลเงินดิจิทัลมีดังนี้ Bitcoin, Ethereum, Dash, Bitconnect, Litecoin เป็นต้น
ล่าสุด รัฐบาลในหลายๆ ประเทศเริ่มมีการสอดส่องเรื่อง Crypto Currency มากขึ้น เพราะอย่างที่บอกว่าเป็นสกุลเงินที่เป็นอิสระจากภาครัฐ รัฐบาลก็ต้องมีความกังวลเป็นธรรมดาในเรื่องความเสี่ยงในระบบการเงิน โดยเมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนได้ทำการแบน Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าซื้อ-ขายที่ใหญ่ที่สุด ส่งผลให้ Crypto Currency ทั้ง Bitcoin และสกุลอื่นๆ มูลค่าตกหวบไปถึง 30% และในวันเดียวกันนั้นได้เกิดปรากฏการณ์เทกระจาดขายสกุล Crypto Currency ทั้งหมดมากกว่า 20% แม้ปลายปี 2017 ที่ผ่าน Bitcoin ราคาจะพุ่งสูงขึ้นถึง 20,000 ดอลลาร์สหรัฐก็ตาม แต่วันที่ 17 ม.ค. ลดเหลือประมาณ 10,100-10,900 ดอลลาร์สหรัฐ เพียงเท่านั้น
ด้าน รัฐบาลเกาหลีใต้เองก็เริ่มตื่นตัว โดยร่างกฎหมายจัดระเบียบสกุลเงินดิจิทัล อาจถึงขั้นแบนการซื้อขาย โดยให้เหตุผลว่ามีความเสี่ยงสูงและมีลักษณะคล้ายการเล่นพนันและการฟอกเงิน โดยปลายปีที่ผ่านมา เว็บเทรดบิตคอยน์ของเกาหลีใต้ที่มีชื่อว่า “Youbit” ได้ถูกแฮกและถูกขโมยไปเกือบ 40,000 บิตคอยน์ ประมาณ 17% จากมูลค่าทั้งหมด 48 ล้านเหรียญสหรัฐ
Bitconnect (BCC) ก็ไปไม่รอด เนื่องจากคณะกรรมการหลักทรัพย์จากรัฐ Texas และรัฐ North Carolina ยื่นจดหมายว่าไม่ยอมทำตามกฎหมายเรื่องการขาย Token และแพลตฟอร์มยังโดนโจมตีแบบ DDoS ทีมงานจึงปิดระบบ Lending กับ Exchange ในที่สุด ทั้งนี้ Bitconnect ถูกเปรียบเทียบว่ามีลักษณะคล้ายการโกงแบบแชร์ลูกโซ่ เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูงมากจนผิดปกติ เช่น สามารถกู้เงิน $10,000 เป็นเวลา 180 วัน จะได้รับผลตอบแทนคืน 40%/เดือน รับโบนัสอีก 0.2/วัน จากครหาทั้งหมดทั้งมวล ส่งผลให้ปัจจุบันมีมูลค่าเพียง 25.57 เหรียญสหรัฐ เท่านั้น จากที่เคยอยู่ราวๆ 400 เหรียญสหรัฐ ลดไปถึง 80%-90% ทำเอาผู้ที่เคยลงทุน BCC ถึงกับเครียด เพราะไม่สามารถซื้อขายเหรียญ BCC ได้เลย
จากเหตุการณ์เกี่ยวกับ Crypto Currency ทั่วโลก ที่ต้องบอกว่ามีเรื่องให้ช็อกไม่เว้นวัน ทำเอานักลงทุนหลายคนต่างลดความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินดิจิทัลลง หากคิดจะลงทุนกับเจ้า Crypto Currency ต่างๆ อาจจะต้องคิดหน้าคิดหลังหน่อย เพราะมีการสวิงมูลค่าค่อนข้างสูง รวมถึงความปลอดภัย และข้อกฎหมายที่รัฐบาลทั่วโลกอยู่ระหว่างการร่างอยู่นั้นยังหาบทสรุปและทิศทางได้ไม่แน่ชัด