หนึ่งในจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้ Ecosystem อาณาจักรอาหารครบวงจรให้กับซีพี คือ “ซีพีแรม” (CP Ram) ผลิตอาหารพร้อมรับประทาน (Reedy to Eat) และกลุ่มผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ป้อนให้กับเชนค้าปลีก และธุรกิจบริการอาหาร (Food Service) ในเครือซีพี เช่น เซเว่น อีเลฟเว่น (7-Eleven), แม็คโคร (Makro) และเชนร้านอาหารในเครือ
ถึงวันนี้ “ซีพีแรม” ก้าวสู่ปีที่ 35 แล้ว เดินทางเข้าสู่ยุคที่ 8 (ปี 2566 – 2570) ซึ่งเป็น “ยุคไร้พรมแดน” วางเป้าหมายต้องการผลักดันยอดขาย กลับมาเติบโตอย่างต่ำ 12% ต่อปี และโฟกัสกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ Plant-based
ย้อนรอย 7 ยุค “ซีพีแรม”
ซีพีแรมได้กำหนดยุทธศาสตร์ธุรกิจออกเป็น 5 ปี ทิศทางในแต่ละยุค จะปรับให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยนั้นๆ ปัจจุบันเดินทางผ่านมาแล้ว 7 ยุค ยุคละ 5 ปี
– ยุคที่ 1: ยุคก่อร่างสร้างตัว (ปี 2531 – 2535) เมื่อกลุ่มซีพี (เครือเจริญโภคภัณฑ์) เข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ และธุรกิจบริการอาหารภายในประเทศ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ จึงได้จัดตั้ง “บริษัท ซี.พี.ค้าปลีกและการตลาด จำกัด” หรือ “ซีพีแรม” ในปัจจุบัน เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2531
– ยุคที่ 2: ยุคแห่งการพัฒนา (ปี 2536 – 2540) เริ่มนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรทันสมัยมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต เช่น จากซาลาเปาที่พนักงานต้องปั้นด้วยมือ ก็เปลี่ยนเป็นเครื่องขึ้นรูปซาลาเปาที่บีบออกมาแล้ววางบนกระดาษ แล้วเอาไปนึ่งได้เลย
– ยุคที่ 3: ยุคสู่สากล (ปี 2541 – 2545) เดินหน้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามมาตรฐานสากล เช่น ISO 9001:2000, HACCP, ISO 14001, TQM (Total Quality Management)
– ยุคที่ 4: ยุคมุ่งสู่ความเป็นเลิศ (ปี 2546 – 2550) ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและการจัดการในระดับปฏิบัติการเชิงคุณภาพ
– ยุคที่ 5: ยุคเติบโตอย่างมั่นคง (ปี 2551 – 2555) วางรากฐานในการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยวางแผนด้านการลงทุนสร้างโรงงานสาขา วางเป้าหมาย 8 แห่ง เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น และสามารถจัดส่งอาหารให้กับร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในรัศมีไม่เกิน 4 ชั่วโมง
– ยุค 6: ยุคครบเครื่องด้วยนวัตกรรม (ปี 2556 – 2560) ในปี 2556 บริษัท ซี.พี.ค้าปลีกและการตลาด จำกัด ได้มีการเปลี่ยนชื่อองค์กรเป็นบริษัท ซีพีแรม จำกัด ด้วยบรรยากาศภายใต้วัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม (Innovation Culture)
– ยุค 7: ยุคศรีอัจฉริยะ (ปี 2561 – 2565) ยกระดับความดี ความพร้อม ความเก่งขององค์กร และบุคลากร อย่างไรก็ตามในยุคนี้ เผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เป็นผลจากโลกเจอวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงมาก เนื่องจากการระบาดของไวรัส COVID-19 เมืองต่างๆ ถูกล็อกดาวน์เป็นระลอกๆ ธุรกิจการบินการ ท่องเที่ยวหยุดชะงัก ภาคการผลิตหลายแห่งปิดตัวลง ส่งผลต่อกําลังซื้อตกต่ำ ยอดขายตกลงอย่างต่อ เนื่อง ผู้บริโภคกําลังอยู่ในสภาพหลังชนฝา ทำให้ปี 2563 – 2565 อัตราการขยายตัวของยอดขายในยุคที่ 7 เฉลี่ยหดตัวลงเหลือไม่ถึง 10% จากเดิมมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยปีละ 10 – 12% มากว่าทศวรรษแล้ว
ปัจจุบัน “ซีพีแรม” กำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคที่ 7 เข้าสู่ยุคที่ 8 (ปี 2566 – 2570) เป็นยุคที่ซีพีแรมต้องการผลักดันยอดขายให้กลับมาโตอย่างที่เคยเป็นมา และสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน
ลุยตลาดอาหารเพื่อสุขภาพ – ผลิตภัณฑ์ Plant-based ดันยอดขายโต 12% ต่อปี
สำหรับในยุคที่ 8 “ยุคไร้พรมแดน” ซีพีแรมกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ 5 ปี (ปี 2566 – 2570) ประกอบด้วย
– ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
– สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งภายในองค์กร และภายนอกองค์กร ตั้งแต่การพัฒนาบริหารจัดการ Supply Chain ตามแนวทาง Food 3S ขององค์กร ได้แก่ ความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety), ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และความยั่งยืนทางอาหาร (Food Sustainability) ครอบคลุมทั้งกระบวนการสั่งซื้อ การนำเข้าวัตถุดิบ สู่กระบวนการผลิต และส่งสินค้าถึงมือลูกค้า
รวมถึงความร่วมมือในด้านอื่นๆ เช่น ด้านเทคโนโลยี, ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, ด้านส่งเสริมคุณภาพชีวิต, ด้านการตลาด, ด้านการเงิน อย่างไร้ขอบเขต ไม่ว่าจะอยู่ในห่วงโซ่อุปทานอาหารหรือไม่ ไม่ว่าจะอยู่ในธุรกิจประเภทเดียวกันหรือไม่ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
– ขยายการผลิตครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย ทั้งที่ปทุมธานี 2 แห่ง กรุงเทพฯ ชลบุรี ลำพูน สุราษฎร์ธานี และขอนแก่น
นอกจากนี้ซีพีแรมได้สร้างโรงงานเบเกอรี่ ตั้งอยู่ที่ชลบุรี ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท มีกำลังการผลิต 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน จะเปิดดำเนินการช่วงปลายปี 2566 นับเป็นโรงงานที่ 16 ของซีพีแรม เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในยุคที่ 8
– จัดตั้งศูนย์ FTEC (Food Technology Exchange Center) ด้วยงบการลงทุนกว่า 300 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ บริษัท ซีพีแรม จำกัด (บ่อเงิน) จังหวัดปทุมธานี เพื่อเป็นศูนย์กลางในการสร้างความร่วมมือและประสานงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมอาหารของไทย ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME
– รุกตลาดกลุ่มอาหารสุขภาพ กลุ่ม Functional Food และกลุ่ม Plant-based Diet ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ซึ่งเกี่ยวข้องกับอาหารและสุขภาพโดยตรง
เนื่องจากเห็นว่าผู้คนต้องการการดูแลสุขภาพทั้งเชิงป้องกันและการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งโรคในอนาคตน่าจะมีความซับซ้อนมากขึ้นและรักษายากขึ้น
ซีพีแรมจึงนำเทคโนโลยีชีวภาพดังกล่าวมาพัฒนานวัตกรรมอาหารเพื่อคนเฉพาะกลุ่ม เป็นการตอบโจทย์ความต้องการด้านโภชนาการที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นก้าวต่อไปของซีพีแรมในยุคนี้ที่นำไปสู่การผลิตอาหารที่จำเพาะเจาะจงกับผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มมากขึ้นเรียกว่า Functional food
เพราะมนุษย์เราไม่ได้มีความต้องการโภชนาการชนิดเดียวกันทุกๆ คน เราควรจะมีอาหารสำหรับคนวัยเด็กว่าต้องการโภชนาการแบบใด คนที่ต้องใช้พลังงานมากในวัยทำงานต้องการโภชนาการแบบใด คนที่สูงวัยต้องการโภชนาการแบบใด เราต้องพัฒนาไปตรงนั้นโดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพมาพัฒนาอาหารสุขภาพและอาหารสำหรับบุคคลเฉพาะกลุ่ม
รวมถึงการพัฒนากลุ่มสินค้าใหม่ออกมาตอบสนองความต้องการกลุ่มผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน คือ อาหารพร้อมรับประทานภายใต้ตราสินค้า “VG for Love” อาหารกลุ่มใหม่สำหรับผู้บริโภคที่มีการบริโภคพืชเป็นหลัก “Plant-based Diet” ซึ่งมีไลฟ์สไตล์สอดคล้องทั้ง 4 ความรัก คือ รักสุขภาพ รักชีวิตสัตว์ รักสิ่งแวดล้อม และรักโลก มุ่งหวังให้เกิดความสมดุลตลอดห่วงโซ่อาหาร
“ซีพีแรมเคยมีอัตราการขยายของยอดขายปีละ 10-12% อย่างต่อเนื่องมากว่าทศวรรษแล้ว แต่เมื่อพบกับวิกฤต COVID-19 ในปี 2563 – 2565 ทําให้อัตราการขยายตัวของยอดขายในยุคที่ 7 เฉลี่ยหดตัวลงเหลือไม่ถึง 10%
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในยุคที่ 8 ของซีพีแรมจะยังคงรักษาความ ท้าทายต่อการขยายตัวของยอดขายเฉลี่ยขั่นต่ําปีละ 12% ต่อไป โดยเราจะเน้นการขยายตัวในสินค้า “กลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ” และ “กลุ่มอาหารจากพืชเป็นหลัก” หรือ Plant-based Diet มากขึ้น” คุณวิเศษ วิศิษฏ์วิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด กล่าวถึงเป้าหมายยอดขาย
พัฒนาหลักสูตรการเรียนระดับอุดมศึกษา “การจัดการอุตสาหกรรมอาหาร” สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ปีในยุคที่ 8 ของซีพีแรม ยังได้พัฒนาหลักสูตร “คณะการจัดการอุตสาหกรรมอาหาร” ภายใต้สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
โดยรวมเอาประสบการณ์ของ ซีพีแรมกว่า 35 ปี ถ่ายทอดต่อยอดสู่บทเรียน บ่มเพาะบุคลากรยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมอาหารอย่างยั่งยืน และยังนำเงิน 1% ของยอดขาย หรือปีละ 150 – 200 ล้านบาท ใช้กับการวิจัยและพัฒนาให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมของตนเอง ซึ่งต่อยอดจากศูนย์การเรียนปัญญาภิวัฒน์ที่ซีพีแรมได้เปิดดําเนินการสอนในระดับ ปวช.มาเป็นเวลา 15 ปีแล้ว