ยังปล่อยเซอร์ไพรส์อีกระลอก สำหรับค่ายค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของประเทศ เครือ CPN หลังเปิดตัว โครงการ “เซ็นทรัล วิลเลจ” (Central Village – Bangkok Outlet Experience) พื้นที่โครงการ 40,000 ตร.ม. บนที่ดิน 100 ไร่ ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ถือเป็นฟอร์แมตใหม่ในรูปแบบ Luxury Outlet ระดับโลก ซึ่งมาเปิดในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
แม้จะมีความได้เปรียบทั้งทำเลและการมีศักยภาพของความเป็นมืออาชีพที่นำความหลากหลายของ Luxury Brand ทั้งไทยและเทศระดับโลกทั้งแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้ในครัว ของเล่น อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน กว่า 235 ร้านมาไว้ที่นี่ให้กับนักช็อปทั้งไทยและเทศที่ชอบของดี ราคาคุ้มค่าได้มาเลือกช็อป
แต่แม้การประเดิมในธุรกิจจะไปได้สวย แต่ทางค่าย CPN ยังเดินหน้าไม่หยุดกับการปลุกปั้นเซ็นทรัล วิลเลจ สู่การเป็น Luxury Shopping Destination ระดับประเทศ โดยล่าสุดจึงดึงพันธมิตรระดับโลกมาช่วยเสริมแกร่งแบบก้าวกระโดด
เดินหน้าแผนปั้นสู่ Shopping Destination
เพราะมีการตั้งเป้าหมาย “Shopping Destination” ทั้งสำหรับคนไทยและนักท่องเที่ยวในรูปแบบ Luxury Outlet จากประสบการณ์ของ Retail Developer ทำให้ซีพีเอ็นเข้าใจดีว่า ปัจจัยที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้มีเพียงแค่การรวมเอา International Brand ระดับโลกหลากหลายแบรนด์ และสินค้าของ Local Brand มาจำหน่ายเพียงเท่านั้น
แต่การจะเดินหน้าสู่แผนการปั้นให้เป็น Shopping Destination นั้น ยังจำเป็นต้องนำ Know How จึงเป็นเหตุผลที่ทางเครือ CPN จับมือกับนักปั้นเอาท์เล็ตมืออาชีพระดับโลกอย่าง “มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชียฯ” บริษัทในเครือบมจ. มิตซูบิชิ เอสเตท บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจเอาต์เล็ตหรูในญี่ปุ่น
ปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เอ่ยความคืบหน้าของเซ็นทรัล วิลเลจว่า ภายหลังเดินหน้าเฟสแรก ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Bangkok Luxury Outlet’ โดยรวบรวมร้าน Luxury Brand Outlet สาขาแรกของไทยเปิดครบเกือบ 100% แล้ว และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ร้านเอาท์เล็ตลักชูรี่แบรนด์สำคัญสาขาแรกของไทย อาทิ Coach, Club21 (Outlet by Club 21), Ermenegildo Zegna, Kate Spade New York, Kenzo, MAX&Co., Michael Kors, Polo Ralph Lauren, Salvatore Ferragamo ได้เปิดให้บริการครบถ้วน
“ปัจจุบันมียอดขายของร้านค้า และทราฟฟิกเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ โดยมีสินค้าแบรนด์เนมคุณภาพเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องในราคาลดทุกวัน 35-70% พร้อมกับส่วนลดที่ปรับเพิ่มขึ้นในทุกๆ ซีซั่นจากแบรนด์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ซีพีเอ็นยังเตรียมศึกษาโครงการเซ็นทรัล วิลเลจในโลเคชั่นเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของไทย ต่อไป”
อย่างไรก็ดี ปรีชาเผยเหตุผลของความร่วมมือครั้งนี้ต่อว่า เกิดจากนโยบายของบริษัทฯ ในการแสวงหาพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน และในวันนี้ ได้พาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญมีประสบการณ์ระดับโลกเข้ามาเป็นหุ้นส่วนพันธมิตร
“หลังจากที่ได้พูดคุยเจรจากันมาเป็นเวลานาน อีกทั้ง หลังจากที่บริษัทได้เปิดให้บริการ เซ็นทรัล วิลเลจ อย่างประสบความสำเร็จตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยิ่งสร้างความชัดเจนให้พาร์ทเนอร์ที่มีประสบการณ์อย่าง มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย เชื่อมั่นและมั่นใจในการเข้ามาร่วมลงทุนเพื่อร่วมกันต่อยอดความสำเร็จยิ่งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง”
ซึ่งแน่นอนว่าในการผนึกเป็นพันธมิตรครั้งนี้มิตซูบิชิ จะนำโนว์ฮาว และประสบการณ์ที่มีในการบริหารเอาต์เลตระดับโลกมาช่วยยกระดับให้เซ็นทรัล วิลเลจก้าวสู่ลักชัวรีเอาต์เลตที่ดีที่สุดในอาเซียน
เผยแรงจูงใจ “มิตซูบิชิฯ” ร่วมลงทุนในไทย
ปัจจุบันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะ “ประเทศไทย” กำลังเป็นอีกหนึ่งตลาดเป้าหมายสำคัญที่กลุ่มทุนใหญ่ระดับโลกมองเห็นโอกาสและอยากลงทุน
โดยจากการวิเคราะห์พบประชากรไทยกว่า 70 ล้านคน พบศักยภาพการเติบโตนักช็อปมือเติบและคนมีกำลังซื้อกลุ่ม Middle Class และกลุ่ม Young Affluent เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมต้องการสินค้าคุณภาพ ราคาคุ้มค่า ทำให้การเปิดเอาท์เล็ตตอบโจทย์ในแง่สินค้าคุณภาพ แบรนด์มีชื่อเสียง และราคาคุ้มค่า
อีกส่วนหนึ่งคือผลพวงจากเทรนด์ของ Urbanization ที่ทำให้ทั้งคนไทยและคนเอเชียเปิดรับเทรนด์ นิยมสินค้าแบรนด์เนมระดับโลกจากต่างประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้ตลาดสินค้าแบรนด์หรูขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงในไทย ซึ่งจะเห็นได้จากปรากฏการณ์แบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ระดับโลกเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
ขณะเดียวกันยังคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทยแต่ละปีน่าจะเติบโตโดยเฉลี่ยปีละไม่น้อยกว่าสองดิจิท ทำให้เครือเซ็นทรัลและ มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย ต่างคาดการณ์ว่าดีมานด์ทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และคนไทยจะช่วยพัฒนาการค้าปลีกสมัยใหม่ในไทย ขยับสู่ความเป็น “พรีเมียม” มากขึ้น จึงเป็นที่มาของการจรดปากกาเซ็นสัญญาเข้าถือหุ้นในโครงการ ‘เซ็นทรัล วิลเลจ’ ลักชูรี่เอาท์เล็ตแห่งแรกของไทย ในสัดส่วน 70:30 ของ มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย
สร้างความแตกต่าง Outlet มาตรฐานโลก
บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย หนึ่งในบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบิ๊กอสังหาฯ ระดับโลก ที่มีบริษัทในเครือเป็นผู้พัฒนาเอาท์เล็ตที่มีสาขากว่า 9 แห่งทั่วญี่ปุ่น อาทิ โกเทมบะ ริงกุ ชิซุย
ซึ่งปรีชาให้ข้อมูลว่า การที่ทางมิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย ร่วมลงทุนด้วยเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านบาท เนื่องจากลุ่มทุนญี่ปุ่นมั่นใจศักยภาพประเทศไทยและซีพีเอ็น ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของการยกระดับลักชูรี่เอาต์เล็ตสู่ความสำเร็จขั้นต่อไป เพื่อสร้างประสบการณ์เทียบชั้นเอาท์เล็ตระดับโลก โดยเฉพาะเอาท์เล็ตยอดนิยมในญี่ปุ่น โดยการนำเสนอผ่านแนวคิด ‘World-Class Outlet with Thai-Japanese Hospitality’
ยูทาโร โยซุซูกะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย ให้เหตุผลว่า ารร่วมลงทุนในโครงการนี้ จะทำเป็นส่วนหนึ่งในการรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทย และในระดับโลก ความชำนาญของซีพีเอ็นโดยถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทเปิดพอร์ตโฟลิโอใหม่ รุกธุรกิจเอาท์เล็ตครั้งแรกในไทย โดยบริษัทฯ คำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ
1) ศักยภาพประเทศไทยที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว
2) เชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญซีพีเอ็น ผู้นำเบอร์ 1 อสังหาฯ ของไทย ที่ดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้วิสัยทัศน์การสร้าง “Center of Life” สอดคล้องกับคติพจน์ “A Love for People / A Love for the City” ของมิตซูบิชิ เอสเตท จึงเชื่อมั่นว่า ซีพีเอ็นคือ พาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมที่สุด ในการรุกตลาดลักชูรี่เอาท์เล็ตในประเทศไทยและ
3) ความสำเร็จของ ‘เซ็นทรัล วิลเลจ’ ด้วยโลเคชั่นของโครงการที่ใกล้กับสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิที่มีนักเดินทางมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองอันดับต้นๆ ที่น่าท่องเที่ยวที่สุดของโลก มีการผสมผสานบรรยากาศของหมู่บ้านไทยในสไตล์ไทยโมเดิร์นซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของโครงการและเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว
“โครงการนี้จึงมีจุดแข็งที่น่าสนใจและมีโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างมากในประเทศไทย” กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย เอ่ย
Two Nations, One Success
สำหรับเป้าความสำเร็จของมิชชั่นนี้คือการผลักดันให้ ‘เซ็นทรัล วิลเลจ’ ขึ้นเป็นอันดับเบอร์หนึ่งลักชูรี่เอาท์เล็ตที่ดีที่สุดในอาเซียน ดังนั้นการร่วมมือกันครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายมองว่าจะช่วยเสริมแกร่งความสำเร็จของเซ็นทรัล วิลเลจได้ใน 3 ประการ ได้แก่
1. การนำเอา Know-How และประสบการณ์ของมิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย ที่เป็นบริษัทระดับโลก มาร่วมพัฒนาการบริหารงานและการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงการเพิ่มเอกลักษณ์ของลักชูรี่เอาท์เล็ตแห่งนี้ให้เป็น ‘World-class Outlet with Thai-Japanese Hospitality’ ซึ่งมีความแข็งแกร่งในการให้บริการ รู้จักลูกค้าและตลาดภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเป็นอย่างดี
2.ช่วยส่งเสริมจุดแข็งในการนำแบรนด์ชั้นนำระดับโลก รวมถึงแบรนด์ญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมของคนไทย มาเสริมความครบครันของเซ็นทรัล วิลเลจ และช่วยส่งเสริมการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ส่งเสริมการส่งออกสินค้าแบรนด์ไทยไปญี่ปุ่นได้ด้วยในขณะเดียวกัน
3.ช่วยดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นที่พำนักอยู่ในประเทศไทยมาช้อปปิ้งที่โครงการ เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ รวมถึงช่วยโปรโมทการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ ผ่านการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและโปรโมชั่นร่วมกันในด้านต่างๆ เช่น ไทยแลนด์-เจแปน เอ็กซ์โป