หลังเข้ามาในตลาดไทยครบ 2 ปี ‘เนสเพรสโซ’ พร้อมรุกตลาดกาแฟในประเทศไทยที่มีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาทรอบใหม่ โดยวาง Coffee experience การสร้างประสบการณ์ให้คอกาแฟในรูปแบบหลากหลายย้ำจุดขายของตัวเอง เพื่อหวังขยายฐานแฟนและการเติบโตให้มากขึ้นกว่าเดิม
“ตลาดกาแฟในประเทศไทยมีการแข่งขันกันสูง แต่มีการเติบโตน่าสนใจจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาดื่มกาแฟมากขึ้น ซึ่งตลาดกาแฟแบบแคปซูล แม้มีสัดส่วนไม่ถึง 1%ของตลาดรวม แต่เรามองว่า ในไทยยังถือเป็นตลาดใหม่ มีช่องทางในการเติบโตอีกเยอะ ยอดขายที่ผ่านมาของเราพิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว” นันท์นภัส วิวัฒน์พัฒนกุล Brand Manager เนสเพรสโซ ประเทศไทย เล่าให้ฟังถึงเหตุผลที่เนสเพรสโซตัดสินใจรุกตลาดในครั้งนี้
ส่วนแผนในการชิงเม็ดเงินจากตลาดกาแฟในประเทศไทยนั้น นันท์นภัส กล่าวว่า จะเห็นภาพชัดเจนในปี 2562 โดยจะเน้น Coffee experience การสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าสัมผัสกับแบรนด์และโปรดักท์ในหลายรูปแบบ
เริ่มตั้งแต่ ตัวโปรดักท์ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยชอบความหลากหลายของรสชาติ ดังนั้น ในส่วนของกาแฟแคปซูล จึงเตรียมนำรสชาติใหม่ ๆ เข้ามาเสริมพอร์ตให้มากขึ้น จากขณะนี้มีวางขายในไทยอยู่ 24 รสชาติ
รวมถึงจะเพิ่มความถี่ในการออกโปรดักท์ ‘Limited Edition’ จากเดิม 2-3 ครั้งต่อปี เป็นอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง เพื่อเพิ่มสีสันและสร้าง experience ที่แตกต่างให้กับลูกค้า
สำหรับ Limited Edition ที่เพิ่งเปิดตัวไป ก็คือ‘Variations Confetto’ ได้ Craig & Kart ศิลปินดูโอ้ แนว Pop Art ชื่อดังระดับโลกที่มีส่วนร่วมออกแบบให้หลายแบรนด์ดัง อาทิ Louis Vuitton,MCM, Apple ฯลฯ มาสร้างสรรค์ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากขนมหวานในวัยเด็ก
ช่องทางจัดจำหน่าย เป็นอีกประเด็นที่น่าจับตา เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับยังเป็นจุดอ่อนของเนสเพรสโซ โดยปัจจุบันมีอยู่ 3 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางออนไลน์ ,คอลเซ็นเตอร์ และ เนสเพรสโซ บูก(Nespresso Boutique) ที่ตั้งอยู่ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน
ดังนั้น ถ้าหากต้องการสร้างยอดขายให้เติบโต จึงจำเป็นต้องเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจุดที่เป็น customer touch point ที่สามารถสร้างประสบการณ์ระหว่างแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน
เรื่องนี้ Brand Manager เนสเพรสโซ ประเทศไทย กล่าวว่า ตามแผนที่วางไว้ จะมีการเปิดสาขาของเนสเพรสโซ บูติก แห่งใหม่ แต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ว่าจะเป็นที่ใด
ขณะเดียวกัน ก็เตรียมขยายช่องทางการขาย เช่น การขายผ่านเพาเวอร์บาย,โฮมโปร ฯลฯ ที่ปัจจุบันมีอยู่ 30 จุดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 10 จุดในปี 2562 โดยการขยายครั้งนี้จะกระจายไปเปิดตามต่างหวัดให้มากขึ้น เพราะต้องการขยายฐานกลุ่มผู้บริโภคให้กว้างขึ้น เบื้องต้นโฟกัสไปตามหัวเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต เป็นต้น
ที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การโรดโชว์ ให้ลูกค้าได้ทดลองใช้เครื่องชงและชิมรสชาติของกาแฟ ซึ่งเตรียมจะขยายไปจัดตามต่างจังหวัดมากขึ้นเช่นกัน
“ที่เราเน้น Coffee experience เพราะที่ผ่านมาเป็น key success ของเรา ทำให้เราเติบโตในตลาดเมืองไทยได้แบบเกินขาดท่ามกลางการแข่งขันดุเดือนของตลาดกาแฟในภาพรวม สเต็ปที่เราพยายามทำต่อไป คือ เปลี่ยนให้คนดื่มกาแฟนอกบ้าน หันมาดื่มในบ้าน ซึ่งเรามีแผนรองรับไว้แล้ว”