เมื่อกว่า 20 – 30 ปีที่แล้ว ถ้าพูดถึงประเทศ หรือกลุ่มประเทศที่เทคโนโลยีพัฒนาก้าวหน้าไปไกล ร้อยทั้งร้อยพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสหรัฐอเมริกา และยุโรป แต่ในช่วงกว่า 10 ปีมานี้ “มังกรจีน” สามารถพลิกขึ้นมาเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจ การเมือง และที่สำคัญด้านเทคโนโลยี
สะท้อนได้จากสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันอย่าง “การจ่ายเงินค่าสินค้าและบริการ” จีนถือเป็นประเทศที่ก้าวเข้าสู่ยุค “Cashless Society” ได้ในเวลารวดเร็ว และเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคจากใช้ “เงินสด” ไปสู่การจ่ายผ่าน “QR Code” โดยมี 2 แพลตฟอร์มหลัก คือ “Alipay” และ “WeChat Pay” ซึ่งเวลานี้ประเทศไทยกำลังเรียนรู้จากจีนในการนำเทคโนโลยี “QR Code Mobile Payment” มาปรับใช้กับสังคมไทย
พัฒนาการ “สังคมไร้เงินสด” ของจีนไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะเวลานี้กำลังขยับไปอีกสเต็ป นั่นคือ “Mobile-less Payment” ที่ไม่ต้องใช้โทรศัพท์มือถือ มาสแกน QR Code เพื่อชำระค่าสินค้า-บริการ แต่ใช้ระบบจดจำ “ใบหน้า” มาทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ หรือที่เรียกเทคโนโลยีนี้ว่า “Facial Recognition” โดยปัจจุบันเทคโนโลยีนี้เริ่มใช้แล้วในเมืองหลัก เช่น ปักกิ่ง, เซิ้นเจิ้น, เซียงไฮ้, หางโจว
ล่าสุด “Alibaba Group” เป็นหนึ่งในบริษัทเข้าร่วมการระดมทุน 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐของสตาร์ทอัพ “Megvii” ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ด้าน Facial Recognition ที่ชื่อว่า “Face++” โดยต้องการนำระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ไปใช้กับอาณาจักรค้าปลีกของ Alibaba
นอกจากนี้ Megvii ยังเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีสแกนใบหน้าให้กับ “Lenovo Group” และ “Ant Financial” ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงินในเครือ Alibaba Group และไม่เพียงแต่ลงทุนใน Megvii เท่านั้น ยักษ์อีคอมเมิร์ซจีน และเทคโนโลยีการเงินของจีนรายนี้ ยังได้ลงทุนใน “SenseTime” อีกหนึ่งสตาร์ทอัพที่พัฒนาเทคโนโลยี Facial Recognition ด้วยเช่นกัน
เหตุผลสำคัญที่ “Alibaba Group” หันมาลงทุนในสตาร์ทอัพด้าน AI มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน เริ่มมีการนำเทคโนโลยี Facial Recognition ไปใช้กับกลุ่มธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจค้าปลีก, ภาคการเงิน, สมาร์ทโฟน รวมถึงระบบความปลอดภัยสาธารณะ
คุณณัฐพร วุ่นกลิ่นหอม นายกสมาคมดิจิทัลไทย และผู้ช่วยผู้อำนวยการ ETDA ฉายภาพพัมนาการ Digital Trade ในจีนว่า “เวลานี้จีนขยับจากยุค “Digital Trade 4.0” ที่ใช้มือถือสแกน QR Code ชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ ไปสู่ “Digital Trade 5.0” ที่เป็นยุค “Mobile-less Society” นั่นคือ ใช้ระบบจดจำใบหน้า หรือ Facial Recognition สำหรับทำธุรกรรมทางการเงิน โดยไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟนสแกน QR Code โดยมีระบบความปลอดภัยที่ผู้ใช้งานต้องลงทะเบียน พร้อมทั้งยืนยันตัวตนจากใบหน้า และนิ้วมือ ซึ่งจะผูกกับ National ID ของคนๆ นั้น ถึงจะสามารถใช้งานได้”
ตัวอย่างหนึ่งคือ ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งในจีน ทางเข้ามีที่กั้น เราเพียงแค่มองกล้องนิดหนึ่ง จากนั้นที่กั้นเปิดออก เดินเข้าไป หยิบสินค้าออกมา ซึ่งบนชั้นวางของมีระบบเซนเซอร์ ที่เมื่อเราหยิบสินค้าออกจากเชล์ฟ ระบบจะรู้ทันทีว่าสินค้านั้นๆ ถูกหยิบออกจากชั้นวางแล้ว จากนั้นก่อนออกจากร้าน มองกล้องอีกที แล้วเดินออกไป เมื่อเดินไปได้ 15 – 20 ก้าว จะมีข้อความตัดเงินจากบัญชีที่เราผูกไว้ แจ้งเตือนเข้ามายังมือถือของเราว่าได้ตัดเงินแล้ว
“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Cashless Society ของจีนพัฒนาไปไกล มาจากการสร้างความร่วมมือกันในหลายภาคส่วน เพื่อโปรโมท และกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใช้ E-Payment แทนการใช้เงินสด ในขณะที่พัฒนาการด้านเทคโนโลยีของไทย ผมเคยถามคนที่เป็นผู้นำสมาคมเทคโนโลยีที่จีน เขาบอกว่าประเทศไทยตามหลังจีน 18 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าจีนต้องหยุดพัฒนาทุกอย่าง อย่างทุกวันนี้ Cashless Society ของไทย ยังไม่เกิดขึ้นเต็มรูปแบบ โดยอุปสรรคสำคัญที่ทำให้พัฒนาการเป็นไปได้ช้า มาจากการไม่รวมตัวกันของธนาคาร และต่างคนต่างแข่งขันกัน” คุณณัฐพร กล่าวทิ้งท้าย
Source : Alibaba