หนึ่งใน Mega Trend ระดับโลกที่ไม่ใช่เทรนด์มาแล้วไป แต่จะอยู่ต่อเนื่อง และนับวันมูลค่าตลาดมหาศาลมากขึ้นเรื่อยๆ คือ “Health & Wellness” ครอบคลุมทั้งสุขภาพและความงาม ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ผู้คนไปแล้ว ยิ่งการเกิด COVID-19 ในช่วงกว่า 2 ปีมานี้ ยิ่งกระตุ้นให้ผู้คนหันมาตระหนักกับการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในเชิง “ป้องกัน” (Preventive) มากกว่ารักษา
มีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาด “Health & Wellness” ทั่วโลกจะอยู่ที่ 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2025 เพิ่มขึ้นจาก 4.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2019 และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในตลาด Health & Wellness ขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน และไม่เพียงแต่ตลาดเพื่อสุขภาพสำหรับคนที่เติบโตเท่านั้น ในฝั่งตลาดสุขภาพและการดูแลสัตว์เลี้ยงก็โตเช่นกัน ด้วยโอกาสทางธุรกิจมหาศาลเช่นนี้ จึงเป็นตลาดที่ใครๆ ก็อยากกระโดดเข้ามาชิงส่วนแบ่ง
ล่าสุด “เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น” ที่มียุทธศาสตร์ CRC Retailligence หนึ่งในแกนสำคัญคือ “การขยายธุรกิจใหม่” (Build New Growth Pillars) จึงได้ตั้งกลุ่มธุรกิจ (Business Unit) “Health & Wellness” พร้อมปั้นเชนรีเทล เพื่อเจาะตลาดนี้โดยเฉพาะ รวมทั้งใช้โมเดลร่วมทุนกับผู้ประกอบการที่อยู่ในตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมาก่อน ต่อจิ๊กซอว์สร้าง Retail Ecosystem ครบวงจร
กางพอร์ตโฟลิโอกลุ่มธุรกิจ “Health & Wellness” เครือเซ็นทรัล รีเทล
ปัจจุบันภายใต้กลุ่มธุรกิจ “Health & Wellness” ของเซ็นทรัล รีเทล ประกอบด้วย 3 เชนค้าปลีกใหม่ที่เพิ่งปลุกปั้น และเปิดให้บริการไม่นาน ประกอบด้วย
– Tops Care (ท็อปส์แคร์) เชนร้าน Health & Wellness Retail Store จำหน่ายทั้งผลิตภัณฑ์ยา เวชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และความงามต่างๆ พร้อมบริการให้คำปรึกษาโดยเภสัชกร ปัจจุบันมี 4 สาขา ตั้งเป้าเปิด 12 สาขาภายในปี 2565 และภายใน 5 ปีข้างหน้า จะมี 300 สาขา
– Tops Vita (ท็อปส์วีต้า) ร้านจำหน่ายวิตามินและอาหารเสริมครบวงจรแบบ O2O ปัจจุบันเปิดแล้ว 21 สาขา ตั้งเป้ามี 40 สาขาภายในปี 2565 และเพิ่มเป็น 150 สาขาในปี 2570 ด้วยยอดขาย 1,500 ล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างมี 400 สาขา ควบคู่กับการให้บริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
ดังนั้นภายใน 5 ปีนี้ จำนวนสาขาทั้ง Tops Care และ Tops Vita รวมกันอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 700 – 800 สาขาทั่วประเทศ
– PET ‘N ME (เพ็ทแอนด์มี) เชนค้าปลีกจำหน่ายผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงครบวงจร ปัจจุบันมี 2 สาขา เตรียมเปิดเพิ่มอีก 2 สาขาภายในปีนี้ และตั้งเป้าภายใน 5 ปี มี 50 สาขา
นอกจากปั้นแบรนด์ค้าปลีก ที่ให้บริการทั้งในรูปแบบ Physical Store และเชื่อมต่อกับ Online Platform หรือโมเดล O2O แล้ว “เซ็นทรัล รีเทล” ยังได้ใช้โมเดลร่วมทุนกับผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เพื่อต่อจิ๊กซอว์เสริมสร้างความแข็งแกร่งพอร์ตโฟลิโอธุริจ Health & Wellness ครบวงจร และเร่งการเติบโตมากขึ้น
อย่างการทุ่มงบกว่า 240 ล้านบาท ดัน “ออฟฟิศเมท” จัดจำหน่ายอุปกรณ์สำนักงาน ไอที เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าเพื่อธุรกิจ B2B เข้าร่วมทุนกับ บริษัท เอ็มพี ซินเนอร์จี จำกัด ผู้นำด้านเฟอร์นิเจอร์เพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ยอดนิยม “เออร์โกเทรนด์” (Ergotrend) ในสัดส่วน 60%
เนื่องจากเล็งเห็นว่าปัจจุบัน “เก้าอี้เออร์โกโนมิกส์” (Ergonomic) และเฟอร์นิเจอร์เพื่อสุขภาพ มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา จากเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคที่ Work From Anywhere และหันมาให้ความสำคัญด้านสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น จึงต้องการรุกตลาดนี้ เพื่อครองส่วนแบ่งในตลาดเฟอร์นิเจอร์ที่มีมูลค่าสูงถึง 43,000 ล้านบาท และตั้งเป้ามุ่งสู่เบอร์ 1 ตลาดเฟอร์นิเจอร์เพื่อสุขภาพในไทยอย่างเต็มรูปแบบ
มาหาคำตอบกันว่าทำไม “เซ็นทรัล รีเทล” ถึงเข้ามาปักธงในธุรกิจ Health & Wellness พร้อมลุยตลาดเต็มตัว!
1. Market Size ใหญ่ สร้างโอกาสทางธุรกิจมหาศาล
ทิศทางตลาด Health & Wellness ในประเทศไทยขยายตัวสอดคล้องกับตลาดโลก โดยมูลค่าตลาด Health & Wellness ในไทยปี 2021 อยู่ที่ 200,000 ล้านบาท เติบโต 8% ในจำนวนเป็นตลาดวิตามินและผลิตภัณฑ์อาหารเสริม (Vitamin & Supplement) มูลค่า 64,000 ล้านบาท
จากมูลค่าตลาด และการเติบโตของตลาดวิตามินและอาหารเสริม ทำให้ “เซ็นทรัล รีเทล” แตกอีกหนึ่งแบรนด์ออกมาคือ “Tops Vita” โมเดล “O2O” เสริมทัพพอร์ตโฟลิโอกลุ่มธุรกิจ Health & Wellness โดยรูปแบบออฟไลน์ (Physical Store) เปิดเป็น Shop in Shop อยู่ในสาขาของท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และใน Tops Care เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มออนไลน์
หรืออย่างตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย มีมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท และนับวันมีแต่จะโตขึ้น เพราะปัจจัยบวกรอบด้าน ทั้งปัจจุบันสังคมคนโสดเพิ่มมากขึ้น, เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ, คู่รักไม่มีบุตรเพิ่มขึ้น, ผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง Fragment มากขึ้น, อีคอมเมิร์ซ ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย ทำให้คนสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงได้ง่าย และรวดเร็ว
ด้วยปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้ ทำให้เกิดทาสหมา และทาสแมวเพิ่มขึ้น ที่พร้อมทุ่มเท ทั้งกาย – ใจ และเงินไปกับค่าอาหาร ของเล่น และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างดีเสมือนเป็นลูกของตัวเอง หรือสมาชิกในบ้าน โดยนิยามคนที่รักและดูแลสัตว์เลี้ยงลักษณะนี้ว่า Pet Humanization นี่จึงเป็นโอกาสมหาศาลที่ “เซ็นทรัล รีเทล” ขยายสู่ธุรกิจสัตว์เลี้ยง ภายใต้เชน “PET ‘N ME”
2. เติมเต็ม CRC Ecosystem ครบวงจร
โมเดลธุรกิจของ “เซ็นทรัล รีเทล” คือ เชนค้าปลีกรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย หรือ Multi-format – Multi-category ด้วยเครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีก 3,550 ร้านใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย 58 จังหวัด, เวียดนาม 41 จังหวัด และอิตาลีในเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ 30 มิถุนายน 2565)
เดิมทีภายใต้กลุ่มธุรกิจ “เซ็นทรัล รีเทล” ประกอบด้วย 4 กลุ่มคือ
– กลุ่มฮาร์ดไลน์ มุ่งเน้นจำหน่ายสินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้าน, สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน หนังสือ และ e-Book
– กลุ่มฟู้ด จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกเช่น เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์, GO!
– กลุ่มแฟชั่น จำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ ภายใต้แบรนด์ค้าปลีก เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต, ซูเปอร์สปอร์ต และเซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป
– กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ให้เช่าพื้นที่ เช่น โรบินสัน ไลฟ์สไตล์, ท็อปส์ พลาซ่า และ GO!
และเพื่อเติมเต็ม CRC Ecosystem ให้ครบวงจรยิ่งขึ้น จึงได้ขยายกลุ่มธุรกิจใหม่ คือ “Health & Wellness” มุ่งจำหน่ายและให้บริการด้านสุขภาพคน และสัตว์เลี้ยง
“ทุกวันนี้คนยิ่งใส่ใจสุขภาพ โดยหลักๆ ผู้บริโภคต้องการการดูแลสุขภาพเชิง Preventive มากขึ้น เพราะเรียนรู้ว่าสุขภาพคือสิ่งสำคัญ และผลกระทบจาก COVID-19 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคมองหาสิ่งที่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้ตลาด Health & Wellness เติบโต ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่เซ็นทรัล รีเทล ยังไม่มีมาก่อน
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเซ็นทรัล รีเทล เปิดกลุ่มธุรกิจ Health & Wellness ขึ้นมา เพื่อเติมเต็ม CRC Ecosystem ให้สมบูรณ์ และครบวงจรยิ่งขึ้น” ดร.มลฤดี เลิศอุทัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่าย New Business, Health & Wellness บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอรปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ขยายความเพิ่มเติม
3. ต่อจิ๊กซอว์ยุทธศาสตร์ “O2O”
หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของ “เซ็นทรัล รีเทล” คือ การเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกรูปแบบ “O2O” (Offline to Online – Online to Offline) เพราะฉะนั้นในการเปิดตัว “Tops Vita” ล่าสุดนี้ จึงใช้โมเดล O2O เต็มรูปแบบ ให้บริการทั้ง Physical Store และออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.topsvita.com รวมทั้ง Chat & Shop ผ่าน LINE Official
เนื่องจากตลาดร้านวิตามินและผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ช่องทาง Physical Store เติบโตกว่า 10% ขณะที่ช่องทางออนไลน์เติบโต 2 Digit เนื่องจากในช่วง COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคคุ้นเคยกับการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ และต้องการความสะดวกมากขึ้น ทำให้ตลาดวิตามิน และอาหารเสริมโตในช่องทางออนไลน์มากกว่าช่องทางออฟไลน์
“การแข่งขันของตลาดนี้ อยู่ที่การนำเสนอความสะดวก – มีสินค้าครบครัน และความง่ายในการเข้าถึง เพราะฉะนั้นเราใช้ความแข็งแกร่งที่เซ็นทรัล รีเทลมีคือ O2O เป็นไปตามนโยบาย CRC Retailligence สร้างการเติบโตทั้งช่องทางออฟไลน์ และช่องทางออนไลน์ที่สามารถช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่าย”
4. ใช้ “Data-driven” สร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบ Personalize
การสร้างประสบการณ์ลูกค้าทุกวันนี้ ต้องลงลึกเฉพาะบุคคล หรือ Personalized Experience แต่การส่งมอบประสบการณ์เช่นนั้นได้ ต้องมี Customer Data ซึ่งกลุ่มธุรกิจ Health & Wellness ของเซ็นทรัล รีเทลขับเคลื่อนธุรกิจด้วย “Data-driven” เช่นกัน
อย่าง “Tops Vita” ที่ใช้โมเดล O2O บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ Tops Vita (เว็บไซต์ topsvita.com) ชูจุดเด่นในการตอบโจทย์ลูกค้ารายบุคคลจากระบบ “ประมวลผลข้อมูลด้านสุขภาพ ผ่านการตอบแบบสอบถาม” (Smart Questionnaire) ทั้งข้อมูลพื้นฐาน, ข้อมูลด้านไลฟ์ศไตล์ และเป้าหมายในการดูแลสุขภาพ
เมื่อลูกค้าตอบแบบสอบถามเสร็จ จะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับวิตามิน หรืออาหารเสริมที่เหมาะกับตัวเอง จากนั้นคลิ๊กซื้อผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับตัวเราเอง จะเห็นได้ว่านี่เป็นการนำ Customer Data พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีมาวิเคราะห์ และประมวลผล เพื่อนำเสนอ Personalized Experience ให้กับลูกค้ารายบุคคล
“จากการสำรวจผู้บริโภคพบว่า ผู้บริโภคไม่รู้ว่าเวลาจะซื้อวิตามิน หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จะเริ่มต้นซื้ออะไร ผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่เหมาะกับตัวเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่คนจะเลือกซื้อตามคำแนะนำของเพื่อน คนใกล้ตัว หรืออ่าน/ดูรีวิว
เพราะฉะนั้นความท้าทายในการทำร้านจำหน่ายวิตามินและอาหารเสริมคือ อย่างไรให้การซื้อวิตามินและอาหารเสริมเป็นเรื่องง่าย ไม่ยุ่งยาก เราจึงเปลี่ยนความท้าทายนั้น เป็นจุดแข็งของ Tops Vita ด้วยการออกแบบ Smart Questionnaire ที่พัฒนาโดยแพทย์อายุรกรรม เพื่อ Tops Vita โดยเฉพาะ
แบบประเมินด้านสุขภาพ จะเก็บข้อมูลลูกค้าไว้ 6 เดือน และคำแนะนำของคุณหมอควรทำแบบสอบถามด้านสุขภาพทุกๆ 3 – 6 เดือน เนื่องจากสุขภาพร่างกายและการใช้ชีวิตของคนเราไม่ได้เหมือนเดิมตลอด นอกจากนี้บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ Tops Vita ยังมีคอนเทนต์ให้ความรู้ด้านสุขภาพและความงามต่างๆ เขียนโดยแพทย์ และเภสัชกร”
เช่นเดียวกับ “PET ‘N ME” ชูโมเดล O2O หรือ Omnichannel Pet Shop โดยเดินหน้าขยายสาขา (Physical Store) และมีช่องทางออนไลน์ให้บริการ, บริการ Click & Collect
5. ชูจุดแข็งสินค้าหลากหลาย – มี Exclusive Brand
อีกปัจจัยหนึ่งที่ตอกย้ำให้เห็นว่า “เซ็นทรัล รีเทล” เข้ามาลุยตลาด Health & Wellness เต็มรูปแบบ นอกเหนือจากการสร้าง Brand Portfolio ในกลุ่มธุรกิจนี้ และใช้โมเดล O2O เชื่อมต่อทั้งแพลตฟอร์ม Physical Store – Online Store เข้าด้วยกันคือ สรรพกำลังความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย รวมทั้งเป็นตัวแทนในการนำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์จากต่างประเทศอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นจุดแข็งของเซ็นทรัลมายาวนาน
เช่น Tops Vita มีผลิตภัณฑ์วิตามินและอาหารเสริมมากกว่า 1,000 รายการ จากแบรนด์ชั้นนำที่มีความน่าเชื่อถือทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะ Exclusive Brand ที่ได้รับความนิยมในประเทศสหรัฐอเมริกา อาทิ แบรนด์ Now และ Life Extension โดยต่อไปมีแผนเพิ่ม Exclusive Brand มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่จำหน่ายผ่าน Tops Vita การันตีเป็นของแท้ 100% มีคุณภาพได้มาตรฐานและมีการจดทะเบียน อ.ย. และนำเข้ามาจำหน่ายอย่างถูกต้อง
รวมทั้งยังเป็นตัวแทนในการนำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศอย่างเป็นทางการ เช่น แบรนด์ Springleaf จากประเทศออสเตรเลีย, แบรนด์ DHC จากประเทศญี่ปุ่น, แบรนด์ Nature’s Truth จากประเทศสหรัฐอเมริกา
“เราตั้งเป้าสู่การเป็นเบอร์ 1 ในตลาดสินค้าและบริการด้าน Health & Wellness ในประเทศไทย และจากนี้เซ็นทรัล รีเทล เตรียมเดินหน้าเต็มที่ เพื่อขยายและลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ และขึ้นเป็นผู้นำในทุก Category ตอกย้ำการเป็นค้าปลีกอัจฉริยะที่มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจ เพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน” คุณไท จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวทิ้งท้าย