ยุทธศาสตร์ “เซ็นทรัล รีเทล 2024” ก้าวสู่ The Next Era เป็นมากกว่า King of Retail

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกต้องเผชิญกับกระแส Disruption ทั้งจากเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค การเข้ามาของ Generative AI และ Climate Change รวมถึง “เซ็นทรัล รีเทล” (Central Retail) ด้วยเช่นกัน แต่จากการสร้าง Business Ecosystem ให้มีความแข็งแกร่ง พร้อมปรับตัวให้ทันในทุกสถานการณ์ และการมีเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทำให้ “เซ็นทรัล รีเทล” สามารถฝ่าความท้าทายดังกล่าว

และในปี 2024 เซ็นทรัล รีเทล ประกาศเดินหน้าสู่ The Next Era ด้วยวิสัยทัศน์ “CRC OMNI-Intelligence” โดยการนำ AI เข้าไปในทุกกระบวนการของการทำธุรกิจ อาทิ การสร้าง Next-Gen Omnichannel ที่ผนวกแพลตฟอร์ม Offline และ Online เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค

อีกทั้งยังขยาย Ecosystem จาก B2C สู่ B2B อย่างเต็มรูปแบบ และมีการ Integrate AI ให้เข้ากับ HI (Human Intelligence) เพื่อให้พนักงานทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เหมือนมี Expertise at your fingertip รวมถึงการสร้าง Impact ที่มุ่งเน้นทั้งด้าน Profit และ Planet ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

สำรวจอุตสาหกรรมค้าปลีกไทย 4 ล้านล้านบาท คาดโต 2 – 3% เท่า GDP

ปัจจุบันมูลค่าอุตสาหกรรมค้าปลีกในประเทศไทย กว่า 4 ล้านล้านบาท ซึ่งในอดีตเป็นอุตสาหกรรมที่โตมากกว่า GDP ประเทศ ทว่าในช่วง 10 ปีมานี้ ค้าปลีกไทยโตเท่ากับ หรือต่ำกว่า GDP ของประเทศ อย่างในปี 2024 เซ็นทรัล รีเทล คาดการณ์ว่าจะโต 2 – 3% เท่ากับ GDP

คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC แสดงความเห็นว่า อุตสาหกรรมค้าปลีก ค้าส่ง และภาคบริการ เป็นแหล่งจ้างงานใหญ่ที่สุด ในขณะที่สิ่งที่ขายอยู่บนดิจิทัล จ้างงานน้อย ดังนั้นถ้าต้องการให้ประเทศไทยโต ต้องสร้างให้คนมีงานทำ เพราะฉะนั้นค้าปลีก ค้าส่ง เป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญในการผลักดันให้เกิดการจ้างงาน

คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC

ชูกลยุทธ์ “5R” ต่อยอดจาก King of Retail สู่การเข้าอยู่ใน Community ลูกค้า

สำหรับ CRC OMNI-Intelligence ประกอบไปด้วย 5 กลยุทธ์สำคัญ (5R) ดังต่อไปนี้

1. Revolutionise Core Strength คือ การยกระดับความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักใน Multi-Format, Multi-Category และ Multi-Market โดยมุ่งเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง รวมถึงการยกระดับเรื่อง Synergy และการทำ M&A เพื่อเพิ่ม Value ในระยะยาวให้กับธุรกิจ

2. Reinforce Financial Resilience คือ การทำให้สถานภาพทางการเงินมีความแข็งแกร่ง และมีการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น และมีความยืดหยุ่นทางด้านการเงิน บนหลักการบริหาร 3C (Cash, Cost, Capex)

3. Reinvent Beyond Retail คือ การต่อยอดธุรกิจนอกเหนือจากธุรกิจค้าปลีก เช่น การเข้าไปเป็นส่วนสำคัญใน Community ต่างๆ ในแต่ละ Category เพื่อสร้าง Network และ Value ในระยะยาวให้กับธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล รวมถึงการขยายอีโคซิสเต็มจาก B2C สู่ B2B อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเดินหน้า Scale up อย่างต่อเนื่อง

4. Reimagine Human Capital คือ การพัฒนาศักยภาพของพนักงาน ด้วยการรวมIntelligence ของ AI และ HI เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อขยายขีดความสามารถในการทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และการเพิ่มประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มออมนิแชแนลแบบทวีคูณ

5. Rally Green Impact คือ การยกระดับการทำ Green Transition ด้วยการผนึกกำลังทั้งภาครัฐ เอกชน ลูกค้า และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ มาร่วมมือกันแก้ปัญหา Climate Change เพื่อไม่ให้ไปสู่ Climate Crisis โดยการลดการใช้พลังงาน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโลกสีเขียว เพื่อส่งต่อให้กับคนรุ่นหลัง

“ที่ผ่านมาทุกคนมองว่าเราเป็น King of Retail แต่วันนี้นอกจากการมีอาณาจักรค้าปลีกค้าส่งที่แข็งแกร่งแล้ว เราต้อง beyond ไปมากกว่าการเป็นรีเทล จากการที่เรามี Loyalty base customer 30 ล้านคน โดยเราต้องเข้าไปอยู่ใน Community ของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม เพื่อสร้าง Engagement ระหว่างลูกค้ากับร้านค้าปลีกค้าส่งในเครือเซ็นทรัล รีเทล

เช่น กลุ่มลูกค้า HoReCa (Hotel – Restaurant – Catering) จากการที่เราเปิดธุรกิจ GO Wholesale เราต้องเข้าไปอยู่ในหัวใจเชฟ นอกจากนี้เรามีร้าน Supersports เราต้องเข้าไปอยู่ใน Community ของกีฬาแต่ละประเภท” คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เล่าถึง Next Step ของเซ็นทรัล รีเทล

กางแผนลงทุน 2.2 – 2.4 หมื่นล้านบาทใน 4 กลุ่มธุรกิจ

จากวิสัยทัศน์ CRC OMNI-Intelligence ที่เซ็นทรัล รีเทล วางไว้ ได้ถูกต่อยอดมาเป็นแผนงานปี 2567 ที่มีเป้าหมายผลประกอบการ คือ รายได้เติบโต 9-11% EBITDA เติบโต 15-17% และใช้งบลงทุน 22,000-24,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในไทย 75 – 80% และการลงทุนในต่างประเทศ ได้แก่ เวียดนาม และอิตาลี 20 – 25% โดยมีแผนการดำเนินงานในปี 2024 ดังนี้

1. กลุ่มแฟชั่น:

– ขยายสาขาห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเพิ่ม 2 แห่ง โดยตั้งเป้าปี 2024 จะมีทั้งหมด 88 สาขา

– รีโนเวทและอัพเกรดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลอีก 4 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ “ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ชิดลม” ซึ่งเป็นแฟล็กชิปสโตร์ สู่การเป็น World Class Luxury Destination

– มีแผนเพิ่มแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และนำแบรนด์ในไทยขยายไปยังเวียดนาม

2. กลุ่มฟู้ด:

– เดินหน้าขยาย GO Wholesale อีก 7 สาขา โดยตั้งเป้าว่าในปี 2024 จะมีทั้งหมด 11 สาขา เพื่อให้เป็นจุดหมายใหม่สำหรับทุกๆ คน เป็น The New Choice For All สำหรับลูกค้า ผู้ประกอบการ และพาร์ทเนอร์ทุกคน

– ขยายสาขา Tops รวม 10 สาขาในไทย โดยตั้งเป้าปี 2024 จะมี 178 สาขา

– สำหรับประเทศเวียดนาม มีแผนเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! 3 สาขา และ go! (มินิ โก!) อีก 9 สาขา ซึ่งถือเป็น Winning Format ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

3. กลุ่มฮาร์ดไลน์:

– เดินหน้าขยายสาขาไทวัสดุ 9 สาขา โดยตั้งเป้าปี 2024 มี 90 สาขา

– รีโนเวทไทวัสดุอีก 4 สาขา

– ทรานส์ฟอร์มเหงียนคิมในเวียดนามให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

4. กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้:

– ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ มีการพัฒนาและปรับปรุงสาขาอย่างต่อเนื่อง

– ศูนย์การค้า GO! ในเวียดนาม มีแผนขยายอีก 3 สาขา โดยตั้งเป้าปิดปี 2024 ด้วยจำนวน 42 สาขา ครอบคลุม 42 จังหวัด จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ

“นอกเหนือจากการสร้างความเป็นเลิศทางธุรกิจแล้ว เรื่องความยั่งยืนก็เป็นอีกหนึ่งแกนหลักที่เซ็นทรัล รีเทล ให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยในปีนี้เราจะต่อยอดเรื่องความยั่งยืนไปอีกขั้น ผ่านการดำเนินงานบนปรัชญา CRC Care ที่พร้อมผลักดันธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า และดูแลทุกภาคส่วนให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกันแบบ 360 องศา

อาทิ การยกระดับเมืองรอง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับเศรษฐกิจไทย, การยกระดับชุมชนและสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการที่เราทำอย่างต่อเนื่อง, การยกระดับความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ และซัพพลายเออร์ เพื่อมาร่วมมือกันสร้างความยั่งยืนทั้งอีโคซิสเต็ม เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ คือ หัวใจสำคัญที่ตอกย้ำ Brand Purpose ของเซ็นทรัล รีเทล ที่จะเป็น Central To Life ศูนย์กลางชีวิตของทุกคนตลอดไป” คุณญนน์ กล่าวสรุป