ในอาเซียน ประเทศที่กำลังเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่แห่งภูมิภาคนี้ ต้องยกให้กับ “เวียดนาม” หนึ่งในประเทศที่ GDP เติบโตร้อนแรงก็ว่าได้ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติของเวียดนาม ชี้ว่า GDP ไตรมาสแรกของปี 2018 อยู่ที่ 7.38% เป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 10 ปีของเวียดนาม และถ้าภาพรวม GDP ทั้งปี รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าที่ 6.7% ซึ่งตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญ มาจากภาคการผลิต – ภาคเกษตรกรรม – ภาคการส่งออก
ขณะเดียวกันในรายงาน “EIC Outlook” ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า เวลานี้เวียดนาม เตรียมผลักดันประเทศสู่การเป็น “ผู้นำด้านเทคโนโลยีแห่งภูมิภาค” ทั้งในแง่ของการเป็นฐานการผลิตสินค้าด้านเทคโนโลยี และนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพื่อการพัฒนาประเทศ
เวียดนามวางแผนพัฒนา 3 เมืองใหญ่ คือ ฮานอย, นครโฮจิมินห์ และดานัง ให้เป็นเมืองอัจฉริยะ (smart city) และนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้กับระบบต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พลเมือง กับภาคธุรกิจในประเทศ เช่น ระบบการจ่ายภาษีออนไลน์ (e-tax payment) โครงการรัฐบาลดิจิทัล รวมถึงโครงการติดตั้งเครื่องอ่านบัตร (card reader) ณ จุดขายทั่วประเทศเพื่อส่งเสริมสังคมไร้เงินสด โดยธนาคารกลางเวียดนามตั้งเป้าลดอัตราการใช้จ่ายผ่านเงินสดต่อการใช้จ่ายทั้งหมดให้ต่ำกว่า 10% ภายในปี 2020
ขณะที่จำนวนประชากรในเวียดนาม ปัจจุบันกว่า 90 ล้านคน และคาดการณ์ว่าอีกไม่นานนี้ จะขยับขึ้นเป็น 10 ล้านคน สิ่งที่ตามมาทั้งจากเศรษฐกิจขยายตัว และประชากรเพิ่มขึ้น คือ คนกลุ่มชนชั้นกลาง (Middle Class) จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งคุณลักษณะของประชากรกลุ่มนี้ในเวียดนาม ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ มีกำลังซื้อ กล้าใช้จ่าย เปิดรับสิ่งใหม่ ติดตามเทรนด์โลก
จากศักยภาพดังกล่าวของเวียดนาม ทำให้กลุ่มทุนต่างประเทศ ให้ความสนใจเข้ามาปักหมุดลงทุน หนึ่งในนั้นคือ “กลุ่มเซ็นทรัล” ที่เข้าไปก่อตั้งธุรกิจในเวียดนามตั้งแต่ปี 2011 พร้อมทั้งจัดตั้งเป็น “กลุ่มเซ็นทรัล เวียดนาม” (Central Group Vietnam : CGV) โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 50,000 ล้านบาท
ตามดู “อาณาจักรค้าปลีก” เซ็นทรัลเวียดนาม ตั้งเป้า 5 ปี มี 720 สาขา
ถึงวันนี้ ธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัล เวียดนาม ทยอยต่อจิ๊กซอว์ให้ครบวงจร ประกอบด้วย 8 กลุ่มธุรกิจ รวม 250 สาขา เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มี 210 สาขาใน 37 จังหวัด ได้แก่
– ธุรกิจศูนย์การค้า 31 แห่ง : BigC
– ธุรกิจร้านอาหาร 59 แห่ง : BigC, Lanchi Mart
– ธุรกิจร้านแฟชั่น และเครื่องกีฬา 49 แห่ง : Robins, DELALA, Supersports, Marks & Spencer
– ธุรกิจร้านสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 79 แห่ง : Nguyen Kim, B2S
– ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 3 เว็บไซต์ : NguyenKim.vn, Robins.vn และ B2S.com.vn
ล่าสุดเปิดเพิ่มอีก 3 กลุ่มธุรกิจค้าปลีก ประกอบด้วย
– ธุรกิจร้านสุขภาพและความงาม 1 แห่ง ในชื่อ “Hello Beauty” สาขาแรกที่บิ๊กซี ทังลอง เมืองฮานอย บนพื้นที่ 400 ตารางเมตร จำหน่ายสินค้าจากผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 3,000 ชนิด อาทิ ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว, ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว, ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม, ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ในราคาตั้งแต่ 10,000 – 400,000 ดองเวียดนาม รวมไปถึงจำหน่ายสินค้าจากญี่ปุ่น ที่นำเข้าโดยบริษัทซากุโก และสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟ ขณะที่ในอนาคต “กลุ่มเซ็นทรัล เวียดนาม” ตั้งเป้าที่จะขยายสาขาร้าน “Hello Beauty” ให้ครอบคลุมโลเคชั่นที่หลากหลาย
– ธุรกิจร้านจำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ดทั่วไปในราคาคุ้มค่า “LookKool” (ลุคคูล) โมเดลธุรกิจคล้ายกับร้านไดโซะ จากประเทศญี่ปุ่น มีพื้นที่เฉลี่ย 250 ตารางเมตร ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 26 สาขา และมีแผนขยายเพิ่มเป็น 30 สาขา ใน 2 – 3 เดือนข้างหน้านี้
– ธุรกิจร้านจำหน่ายสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้าน “Home Mart” (โฮมมาร์ท) ในรูปแบบ DIY (Do It Yourself) เปิดแล้ว 1 สาขา มีพื้นที่ประมาณ 500-600 ตารางเมตร เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายครอบครัว
ยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจค้าปลีกในเวียดนามของกลุ่มเซ็นทรัล จะสร้าง Brand Portfolio ในแต่ละเซ็กเมนต์ค้าปลีก ซึ่งเป็น Business Model เช่นเดียวกับในไทย โดยครอบคลุมตั้งแต่ Shopping Mall ไปจนถึงการสร้างค้าปลีกในรูปแบบ Category Killer ประเภทต่างๆ ที่ใช้ “ความคุ้มค่า-คุ้มราคา” เป็นตัวดึงลูกค้า ซึ่งบางแบรนด์ค้าปลีก ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับตลาดเวียดนามโดยเฉพาะ เช่น LookKool, Hello Beauty
สำหรับเป้าหมายด้านรายได้ปี 2018 คาดว่าจะเติบโต 2 digit จากปีที่แล้ว ทำได้ 44,800 ล้านบาท นอกจากนี้ “กลุ่มเซ็นทรัล เวียดนาม” ยังได้กำหนดแผนใน 5 ปีจากนี้ ด้วยงบลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 17,500 ล้านบาท (เฉลี่ยงบลงทุนปีละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ) และตั้งเป้ามี 720 สาขารวมกลุ่มธุรกิจค้าปลีก
คุณฟิลิปเป้ โบรเอียนิโจ ซีอีโอ ของกลุ่มเซ็นทรัล เวียดนาม และบิ๊กซี เวียดนาม เล่าถึงศักยภาพของตลาดเวียดนามว่า “ตลาดเวียดนามสำคัญมากสำหรับเซ็นทรัล กรุ๊ป ดังนั้นการดำเนินธุรกิจที่เวียดนาม ไม่ใช่แค่การยก Business Model จากประเทศไทยไป แต่หลายอย่างเป็นการสร้างขึ้นใหม่สำหรับตลาดเวียดนามโดยเฉพาะ เช่น การพัฒนาค้าปลีกคอนเซ็ปต์ใหม่ และปัจจุบัน “กลุ่มเซ็นทรัล เวียดนาม” ถือเป็นอันดับ 1 ธุรกิจค้าปลีกจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุน โดย Key Driver มาจากกลุ่มธุรกิจ Food แต่ต่อไปเราต้องการสร้างความแข็งแกร่งทั้งกลุ่มธุรกิจ Food และ Non-food
ความท้าทายของการทำธุรกิจในเวียดนาม เราต้องเข้าใจ Consumer Insight คนเวียดนาม รวมทั้งต้องเข้าใจกฎระเบียบ ที่มีทั้งแบบรวมศูนย์ และแบบกระจายอำนาจ ประกอบกับปัจจุบันราคาอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนามปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นผู้ประกอบการต่างประเทศต้องศึกษาทิศทางดังกล่าว และเราในฐานะที่เป็นบริษัทต่างชาติ ต้องทำให้ฐานธุรกิจในเวียดนามแข็งแกร่งได้เช่นเดียวกับ Local Business”