ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดที่ผ่านมา เป็นที่ชัดเจนว่าผู้คนเริ่มมองหาสินค้าที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตผ่านหลากหลายช่องทางทั้งที่เป็นร้านค้าสะดวกซื้อใกล้บ้าน ห้างขนาดใหญ่และการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และแม้ว่าสถานการณ์จะเริ่มกลับมาดีขึ้นแต่ความกังวลใจของผู้บริโภคยังคงเน้นไปที่ความปลอดภัยและสภาพที่ถูกสุขอนามัย
นอกจากนี้ความกังวลในเรื่องของความมั่นคงด้านการงาน ยังเป็นอีกเรื่องที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงกังวลใจอยู่ เนื่องจากเหตุการณ์ลดคนงานหรือเลิกว่าจ้างยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีความกังวลว่าเมื่อสถานการณ์กลับมาเข้าสู่ภาวะปกติ ราคาสินค้าจะเริ่มกลับมาแพงขึ้นตามความต้องการที่มากขึ้น ซึ่งสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจและความมั่นคงด้านการงาน
“เทสโก้ โลตัส (Tesco Lotus)” จึงเปิดแคมเปญ “ราคามหาชน” ซึ่งความพิเศษของแคมเปญนี้คือ การนำ DATA เข้ามาใช้เพื่อดูว่าลูกค้าส่วนใหญ๋ซื้อสินค้าอะไรเป็นหลักหรือหยิบสินค้าประเภทใดลงในตะกร้าบ้าง โดยแบ่งเป็นการทำแบบสำรวจความคิดเห็นลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์จำนวน 4 ล้านราย ประกอบกับการประมวลผลข้อมูล Big DATA ของฐานสมาชิกบัตรคลับการ์ด (Club Card) จำนวน 15 ล้านราย
คุณวรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ ประธานกรรมการฝ่ายการตลาด เทสโก้ โลตัส ชี้ว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าล่าสุด พบว่าลูกค้ายังคงมีความกังวลอย่างสูงในด้านรายจ่าย ค่าครองชีพ และความมั่นคงของหน้าที่การงาน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรการเยียวยาและความช่วยเหลือจากทางภาครัฐ ส่วนมากสิ้นสุดลงตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
จากการรวบรวม DATA ทั้งหมดพบว่า สินค้าอุปโภคและบริโภคอย่าง ผงซักฟอก, แชมพู, ข้าวสาร เป็นต้น เป็นหมวดสินค้าที่ลูกค้ากว่า 75% ซื้อเป็นประจำ ซึ่งสินค้าในกลุ่มดังกล่าวจะลดราคาสูงสุด 50% เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อเพิ่มมากขึ้นในราคาที่ถูกลง นอกจากนี้ยังมีการสำรวจและเก็บ DATA เพื่อหากลุ่มสินค้าใหม่ที่มีความต้องการจากผู้บริโภคเข้าสู่แคมเปญดังกล่าว โดยสินค้าที่อยู๋ในแคมเปญจะยังคงอยู่ต่อไป
สำหรับแคมเปญ “ราคามหาชน” จะตัดราคาสินค้าที่จำเป็นสูงสุด 50% เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม – 25 พฤศจิกายน 2563 ที่เทสโก้ โลตัส ทั้ง 2,000 กว่าสาขาทั่วประเทศ และทางเทสโก้ โลตัส ช้อปออนไลน์ เพื่อเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้าและประชาชน โดยมีสโลแกนแคมเปญว่า “เพื่อความสุข เพื่อความอิ่มท้อง ของมหาชนชาวไทย”
ที่สำคัญจากข้อมูลยังพบว่า ช่วงที่มีการล็อคดาวน์ (Lockdown) จำนวนลูกค้าที่เดินทางมาที่ห้างเพิ่มมากขึ้นและมีมูลค่าในการซื้อต่อครั้งเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยจะเน้นไปที่กลุ่มสินค้าจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาหลังสถานการณ์ดีขึ้น จำนวนลูกค้าที่มาเข้าห้างลดลงอย่างมากและมีมูลค่าในการจับจ่ายลดลง โดยพบว่าลูกค้านิยมไปห้างซื้อสินค้า 2 สัปดาห์ต่อครั้ง ขณะที่ร้านไซส์เล็กของ Tesco Lotus มีลูกค้านิยมไปสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
คาดว่าลูกค้าจะเริ่มเดินทางมาที่ห้างมากขึ้นด้วยแคมเปญที่ลดราคากับสินค้าที่โดนใจผู้บริโภค ซึ่งจะเห็นได้ว่า DATA ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับรู้ความต้องการของผู้บริโภค และนำ DATA เหล่านั้นไปพัฒนาจนเกิดเป็นแคมเปญเพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภค นอกจากนั้น DATA ทั้งการทำแบบสอบถามออนไลน์และการนำ DATA จากคลับการ์ด ยังช่วยให้สามารถพัฒนาต่อไปสู่การทำการตลาดแบบเฉพาะตัวบุคคล (Personalised) ได้