
“เมื่อปี 2018 “BYD” (บีวายดี) ได้นำรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา จำนวน 101 คันมาให้บริการกับคนไทยในฐานะ VIP Taxi ตลอด 4 ปีมานี้มีคำถามมาตลอดว่าเมื่อไร BYD จะเข้ามาในไทยสักที ?
วันนี้เราจะประกาศต่อพี่น้องชาวไทยทุกคนว่า BYD ได้เข้าสู่ตลาดไทยอย่างเต็มตัวแล้ว โดยเราเลือกสร้างโรงงานแห่งแรกของ BYD ในอาเซียนที่ประเทศไทย…”
นั่นคือคำกล่าวของ มร.หลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด กล่าวถึงความพร้อมของ BYD ในการบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย
ปัจจุบันตลาดรถยนต์ทั่วโลก รวมทั้งไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากรถเครื่องยนต์สันดาป สู่ “ยานยนต์ไฟฟ้า” ที่สำคัญถือเป็น New S-curve ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ยิ่งในฐานะที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตรถยนต์รายใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพราะฉะนั้นท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า จึงเป็นจังหวะสำคัญที่ไทยต้องเร่งปรับตัว และสร้างความพร้อมด้าน “EV Ecosystem” ทั้งการออกนโยบายสนับสนุนการลงทุนของผู้ผลิตยานยนต์ และชิ้นส่วนสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้า, โครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้งาน เช่น สถานีชาร์จตามจุดต่างๆ, การติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (Wallbox EV Charger), มาตรการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึง EV ตลอดจนกฎระเบียบต่างๆ เพื่อ “ปักธง” การเป็น “EV Hub” ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองรับ Demand ทั้งตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก
ขณะเดียวกันท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค EV จะเห็นได้ว่าเกิด New Player ในไทย โดยเฉพาะค่ายยานยนต์จากประเทศจีนเข้ามาทำตลาดในไทย ทั้งโมเดลร่วมทุน, บริษัทแม่ลงทุนเอง และสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
ล่าสุด “บริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด” ภายในกลุ่ม BYD หนึ่งในยักษ์ใหญ่ EV ของจีน และตลาดโลก ได้เซ็นสัญญาซื้อขายที่ดิน ขนาด 600 ไร่จาก “บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)” ในเครือดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป (WHA Group) ในนิคมอุตสาหกรรม WHA ระยอง 36 เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าพวงมาลัยขวาแห่งแรกในอาเซียน
หลังจากก่อนหน้านี้ “บอร์ด BOI” (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) อนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ของ BYD ในการประกอบกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก (PHEV) มูลค่า 17,891 ล้านบาท และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้เปิดตัว “เรเว่ ออโตโมทีฟ” เป็นผู้จัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์ “BYD” ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ (Thailand Authorized Distributor)
- อ่านเพิ่มเติม: รถจีนชิงตลาด EV ไทย! ตามดูเส้นทาง “BYD” จากผู้ผลิตแบตเตอรี่ สู่ยักษ์รถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก – รุกไทย ตั้งเป้า Top 5

อะไรคือเหตุผลสำคัญที่ “BYD” ตัดสินใจเลือกลงทุนสร้างฐานการผลิต EV ในไทยเป็นแห่งแรกในอาเซียน มาหาคำตอบกัน ?!?
1. จับตาต่อไป EV จะกลายเป็นตลาด Mainstream
แม้ปัจจุบันตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยยังเป็น Niche Market แต่คาดว่าในอนาคตจะกลายเป็นตลาด Mainstream สอดคล้องกับทิศทางตลาดโลกที่เวลานี้หลายประเทศ เช่น จีน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, สหภาพยุโรป ที่เร่งเปลี่ยนผ่านจากยุครถยนต์เครื่องยนต์สันดาป เข้าสู่ยุค “EV” ซึ่งจะผลักดันให้ Supply และ Demand ในตลาด EV ขยายตัว และมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในปี 2021 ยอดขาย xEV (รถยนต์ไฟฟ้า BEV และ Plug-in Hybrid) สร้างสถิติใหม่ ทำได้ 6.6 ล้านคันทั่วโลก ในจำนวนนี้ยอดขาย 3.3 ล้านคันมาจาก “ประเทศจีน” คิดเป็นสัดส่วน 50% ขอตลาดรถยนต์ไฟฟ้ารวม ขณะเดียวกันยอดขาย xEV ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งในยุโรป เพิ่มขึ้น 65% หรือคิดเป็น 2.3 ล้านคัน และจากสหรัฐอเมริกา มากกว่า 630,000 คัน ซึ่งปัจจุบันจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่วิ่งอยู่บนท้องถนนทั่วโลก (ณ สิ้นปี 2021) อยู่ที่ 16.5 ล้านคันทั่วโลก เพิ่มขึ้นสามเท่าจากปี 2018
เมื่อมองกลับมายังตลาด EV ในไทย แนวโน้มความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นตามกระแสโลก โดย “ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี” หรือ “ttb analytics” ประเมินยอดขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าของไทยปี 2022 แตะ 6.36 หมื่นคัน แบ่งเป็น
– รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) หรือรถยนต์ไฟฟ้า 100% จำนวน 10,203 คัน หรือขยายตัว 539.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564
– รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid) คาดว่าจะอยู่ที่ 41,927 คัน และไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 11,469 คัน
ประมาณการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าว ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากอานิสงส์มาตรการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ตามกระแสความนิยมยานยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วโลกในด้านราคาและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่อยู่ระดับสูงต่อเนื่อง สวนทางกับกระแสรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง (Internal Combustion Engine: ICE) หดตัว จากปีที่แล้วถึง 8.8%
เพราะฉะนั้นต่อไปหาก EV Ecosystem ในไทยมีความพร้อม และตลาดมีความหลากหลาย ทั้งรุ่น – แบรนด์ – ระดับราคาให้ผู้บริโภคได้เลือก เชื่อว่า Domestic Demand มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และส่วนหนึ่งจะค่อยๆ เข้ามาแทนที่ตลาดรถยนต์สันดาป นี่จึงเป็นโอกาสที่ “BYD” ต้องการเข้ามาท้าชิงตลาดรถยนต์ในไทย

2. ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์แห่งอาเซียนมานาน – เตรียมผลิต EV ป้อนตลาดไทย–อาเซียน–ยุโรป
“BYD” ต้องการให้โรงงาน EV ในนิคมอุตสาหกรรม WHA ระยอง 36 แห่งนี้ เป็นฐานการผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศ และส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั้งในอาเซียน และยุโรป
โดยตามแผนคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าจำนวน 150,000 คันค่อปี โดยจะโฟกัสตลาดไทยก่อน เนื่องจากเล็งเห็น Domestic Demand สูง จากนั้นจะผลิตเพื่อส่งออกด้วย ดังนั้น “BYD” จึงมองว่าไทยจะเป็นฐานการผลิตใหญ่ ที่ไม่ใช่แค่รองรับตลาดไทยเท่านั้น แต่ยังเป็น springboard สำคัญในการรุกหนักตลาดอาเซียน
“ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอาเซียน เราเห็นว่า “สิงคโปร์” มีนโยบายสนับสนุน EV ดีที่สุดในภูมิภาคนี้ รองลงมาเป็นไทย โดยหลังจากที่เราได้ศึกษา และทดลองตลาดในไทยพบว่า ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ในอาเซียนมานานจนมีความแข็งแรง และมีความก้าวหน้า รวมทั้งมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านรถยนต์ค่อนข้างเยอะ นี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เราเลือกลงทุนสร้างโรงงานผลิตในไทยเป็นแห่งแรกในอาเซียน” มร.หลิว เสวียเลี่ยง ขยายความเพิ่มเติม

3. ภาครัฐกำหนดเป้าหมายและมาตรการส่งเสริมการผลิต – ใช้รถ EV
เป้าหมายและมาตรการสนับสนุน EV จากภาครัฐ จะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ “BYD” หรือแม้แต่ค่ายยานยนต์อื่นตัดสินใจลงทุนด้าน EV ในไทย
ปัจจุบันคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือบอร์ด EV ได้ออกแนวทางส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ตามนโยบาย 30@30 คือ ตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2030 ดังนี้
– เป้าหมายผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้า และรถกระบะไฟฟ้า 725,000 คัน
– เป้าหมายผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 675,000 คัน
– เป้าหมายผลิตรถบัส และรถบรรทุก 34,000 คัน
– ส่งเสริมการผลิตรถสามล้อ, เรือโดยสาร และรถไฟระบบราง
ขณะเดียวกันได้กำหนดเป้าหมายส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
– รถยนต์นั่ง และรถกระบะ 440,000 คัน
– รถจักรยานยนต์ 650,000 คัน
– รถบัส และรถบรรทุก 33,000 คัน
นอกจากนี้ได้ตั้งเป้าส่งเสริมสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะแบบ Fast charge จำนวน 12,000 หัวจ่าย และสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจำนวน 1,450 สถานี และมีมาตรการส่งเสริม ZEV ในด้านต่างๆ เช่น
– ส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน
– ส่งเสริมผู้ประกอบการรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า และการพัฒนาบุคลากรด้านนี้
– มาตรการด้านภาษี และมาตรการอุดหนุน เช่น
- รถยนต์ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท: การอุดหนุน 70,000 – 150,000 บาท ลดอากรขาเข้าสูงสุด 40% ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เป็นจัดเก็บ 2%
- รถยนต์ราคา 2 – 7 ล้านบาท: ไม่มีการอุดหนุนเงิน ลดอากรขาเข้าสูงสุด 20% ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เป็นจัดเก็บ 2%
- รถกระบะ ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท: อุดหนุน 150,000 บาท และลดภาษีสรรพสามิต 0%
- รถจักรยานยนต์ ราคาไม่เกิน 150,000 บาท: อุดหนุน 18,000 บาท อัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่า 1%

4. ความพร้อมของทำเลที่ตั้งโรงงานผลิต และระบบซัพพลายเชน
เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ “BYD” พิจาณาเลือกสร้างโรงงานผลิต EV ในไทย เพราะนิคมอุตสาหกรรม WHA ระยอง 36 เป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ล่าสุดของ WHA Group ในไทย ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 1,281 ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ใกล้ทางหลวงหมายเลข 36 และ 3375 ในจังหวัดระยอง และห่างจากท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด 25 กิโลเมตร, ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง 31 กิโลเมตร และสนามบินอู่ตะเภา 23 กิโลเมตร
นิคมอุตสาหกรรม WHA ระยอง 36 สร้างขึ้นภายใต้แนวคิด “นิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ” โดยมีความพร้อมด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมล่าสุด เช่น ด้านการสื่อสาร, การคมนาคมขนส่ง, การรักษาความปลอดภัย, การควบคุมด้านสิ่งแวดล้อม, การผลิตและการบำบัดน้ำเสีย
รวมทั้งยังเชื่อมต่อกับศูนย์ควบคุมส่วนกลางของ WHA (Unified Operation Center: UOC) ที่สำนักงานใหญ่ WHA Tower ย่านบางนา ทำให้บริษัทฯ สามารถตรวจสอบสภาวะด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น คุณภาพอากาศ คุณภาพน้ำ และน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนระดับน้ำฝน การจัดการจราจร และความปลอดภัยได้แบบ Real-time
“การเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ในต่างประเทศ ที่นิคมอุตสาหกรรม WHA ระยอง 36 ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการขยายบริษัท BYD อย่างแท้จริง
หลังจากที่เราได้ค้นหาและคัดเลือกอย่างละเอียด ประเทศไทยและนิคมอุตสาหกรรม WHA ระยอง 36 ได้กลายเป็นตัวเอกที่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากทำเลที่ตั้ง ชื่อเสียงของบริษัท WHA ในฐานะผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมชั้นนำของภูมิภาค โครงการ EEC ทรัพยากรบุคคล ระบบสาธารณูปโภคและบริการ รวมถึงการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการลงทุนของ BYD”

ทางด้าน คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ขยายความเพิ่มเติมว่า นิคมอุตสาหกรรม WHA ระยอง 36 สร้างขึ้นให้รองรับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ด้วยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และทำเลที่ตั้งอันเป็นยุทธศาสตร์
“เราอยากให้นิคมฯ แห่งนี้ เป็นคลัสเตอร์ EV ที่สามารถรองรับการขยายตัวของ EV จากเดิมมักจะมีคำถามมากมายว่า ประเทศไทยยังจะใช่ไหมในการเป็นคลัสเตอร์ด้านรถยนต์ ซึ่ง WHA ทำนิคมอุตสาหกรรม เป็นส่วนต้นน้ำของซัพพลายเชนธุรกิจ จะเห็นการเคลื่อนไหวของการลงทุนทั่วโลก และที่ผ่านมามียานยนต์ EV ติดต่อเราเข้ามาต่อเนื่อง เราจึงเชื่อว่าประเทศไทยสามารถเป็น EV Hub ได้ ซึ่งเหตุผลที่ผู้ผลิต EV เลือกลงทุนในไทย เพราะ
1. เรามีซัพพลายเชนแข็งแรง ซึ่งซัพพลายเชนในที่นี้ไม่ใช่แค่แบตเตอรี่ แต่ยังมีซัพพลายเชนอื่น เช่น ยางรถยนต์ ประเทศไทยมีบริษัทยางรถยนต์ระดับโลกที่ผลิตและส่งออกไปตลาดโลก
2. นอกจากแบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่น และยุโรปแล้ว ปัจจุบันเริ่มมีบริษัทยานยนต์จีนเข้ามาลงทุนในไทย และ 3. เรามี Domestic Demand เยอะ และการมาลงทุนในไทย ไม่ใช่แค่ขายเฉพาะตลาดไทยเท่านั้น ยังรวมถึงส่งออกด้วย”

เตรียมส่ง “ATTO 3” รถยนต์ไฟฟ้า 100% ตีตลาด SUV
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่ “BYD” จะนำเข้ามาทำตลาดในไทยนั้น มร.หลิว เสวียเลี่ยง แย้มว่าเป็น “ATTO 3” และต่อไปจะมีรุ่นอื่นๆ ตามมา ซึ่งจะตอบโจทย์ความชอบ และพฤติกรรมของคนไทย
ทั้งนี้ “ATTO 3” ที่เปิดตัวไปแล้วในต่างประเทศ เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) เจาะตลาด SUV ขนาดกลาง จำนวน 5 ที่นั่ง มีเทคโนโลยี e-platform 3.0 ยกระดับการขับขี่ EV ไปอีกขั้น ทั้งอัตราการเร่ง ระยะทางขับขี่ ความเร็วในการชาร์จ และการควบคุมอุณหภูมิให้ต่ำอย่างเสถียร รวมทั้ง Blade Battery เป็นเทคโนโลยีพัฒนาโดย BYD

ส่วนแบตเตอรี่ของรุ่น ATTO 3 มีความจุ 2 ขนาดคือ
– 49.92 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) วิ่งได้ระยะทาง 345 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้งตามมาตรฐานการทดสอบของ WLTP และถ้าเป็นมาตรฐานการทดสอบ NEDC วิ่งได้ระยะยาง 410 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
– 60.48 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) วิ่งได้ระยะทาง 420 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้งตามมาตรฐานการทดสอบของ WLTP และถ้าเป็นมาตรฐานการทดสอบ NEDC วิ่งได้ระยะยาง 480 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
“เอกสารที่เรายื่นให้กับ BOI ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ทางบริษัทยื่นผลิตทั้ง BEV และ PHEV แต่ตอนนี้สำหรับตลาดไทย BYD จะผลิตรถ BEV หรือรถยนต์ไฟฟ้า 100% เป็นหลักก่อน” มร.หลิว เสวียเลี่ยง กล่าวทิ้งท้าย

สำรวจ Demand รถยนต์ไฟฟ้าในไทย – คนไทยพร้อมเปลี่ยนแบรนด์รถ – เปิดใจรับผู้ผลิตรายใหม่
ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าคือ New S-curve ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ที่ปัจจุบันถือว่ายังอยู่ในสเต็ปเริ่มต้นเท่านั้น และยังมีโจทย์ใหญ่ในการพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) อีกมาก
“วิจัยกรุงศรี” รายงานวิจัยรถยนต์ไฟฟ้า: ความต้องการและโอกาสที่กำลังมาถึง (มีนาคม 2022) ชี้ว่าที่ผ่านมาการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังไม่แพร่หลายนัก ด้วยสาเหตุเช่น
– รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพง
– การสนับสนุนจากรัฐไม่ชัดเจน
– โครงสร้างพื้นฐานยังไม่มีเพียงพอ
– ตัวเลือกรุ่นรถในไทยมีจำกัด
หากไทยเป็นประเทศนำเข้ารถยนต์เพื่อบริโภคเป็นหลักก็อาจไม่จำเป็นต้องเร่งปรับตัวนัก แต่เนื่องจากไทยมีสถานะเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์ที่สำคัญประเทศหนึ่ง
ดังนั้นการปรับตัวของประเทศจึงมีความจำเป็นอยางยิ่ง ทั้งกับผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนเพื่อรักษาความสามารถในการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลกต่อไป และรวมไปถึงผู้เล่นที่เกี่ยวข้อง
วิจัยกรุงศรีมองว่าความเข้าใจทั้ง Ecosystem ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะด้านความต้องการของลูกค้าที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์และผู้เกี่ยวข้องสามารถวางแผนรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
เพื่อเตรียมตัวกับกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเกิดขึ้น วิจัยกรุงศรี ด้วยความร่วมมือจาก Krungsri Auto ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคเกี่ยวกับความต้องการและปัจจัยที่นำไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต โดยทำการสำรวจผ่านช่องทางออนไลน์ช่วงวันที่ 10 – 30 พฤศจิกายน 2021 มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 818 คน พบว่า
ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้ว ตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจาก 3 ปัจจัยหลัก
– ค่าใช้จ่ายในการใช้งานต่ำกว่า (81%)
– ดีต่อสิ่งแวดล้อม (73%)
– ชื่นชอบเทคโนโลยี (59%)
ขณะที่ปัจจัยด้านยี่ห้อและผลประโยชน์ที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น ที่จอดรถพิเศษสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ
หลังจากการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ระบุว่าสมรรถนะการขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้าดีกว่าที่คาดหวังไว้ ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่สถานีบริการน้อยครั้งกว่าที่คาดไว้ และโดยรวมแล้วผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามีความพึงพอใจต่อการใช้งานมากกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะผู้ใช้รถยนต์ BEV ที่กว่า 81.8% มีความพึงพอใจโดยรวมมากกว่าที่คาดไว้
นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้รถยนต์ BEV ยังมีแนวโน้มที่จะวางแผนในการขับรถมากขึ้น ขับรถเร็วขึ้น แต่ขับรถให้ประหยัดมากขึ้นอีกด้วย เช่น ขับด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเป็นความเร็วระดับที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังพบปัญหาจากการใช้ โดยเฉพาะด้านการชาร์จ เช่น ระยะเวลาการชาร์จที่ยาวนาน จำนวนสถานีที่ยังไม่ครอบคลุม เป็นต้น นอกจากนั้น ผู้ตอบแบบสอบถามยังระบุว่าระยะทางการขับขี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งยังสั้นเกินไป
ผู้ที่ยังไม่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า เหตุผลหลักที่ยังไม่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องของการชาร์จเป็นหลัก
– จำนวนสถานีชาร์จไฟฟ้ายังไม่เพียงพอ
– ระยะทางการขับขี่ต่อการชาร์จที่สั้นเกินไป
– ราคาที่ยังสูงกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine: ICE)
– การชาร์จใช้เวลานาน
ส่วนปัจจัยที่ไม่มีผลต่อการตัดสินใจคือ ยี่ห้อรถยนต์ และเทคโนโลยี
ทั้งนี้ผู้ที่ยังไม่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้ความสนใจรถยนต์ BEV มากที่สุด ดังนั้น หากมองฝั่งอุปสงค์ จะเห็นได้ว่าตลาดรถยนต์ของไทยในอนาคตอาจจะกระโดดข้ามจากรถยนต์สันดาปภายใน ไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่โดยไม่ต้องมีรถยนต์ไฮบริดทั้ง 2 ประเภทมาคั่นกลาง
เมื่อสอบถามถึงความต้องการซื้อรถยนต์ใน 5 ปีข้างหน้าพบว่า
– 83% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าจะซื้อรถยนต์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยปัจจัยหลักคือ
1. อายุรถยนต์คันปัจจุบันถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยน
2. เปลี่ยนรถตามเทคโนโลยี
ขณะที่ผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อรถใน 5 ปีข้างหน้า (17%) เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนรถคันใหม่ และราคารถยนต์ยังแพงเกินไป
ส่วนความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต พบว่าความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วง 1 – 2 ปีที่จะถึงนี้ และความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ากลุ่มใหญ่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ 3 ปีข้างหน้าเป็นต้นไป
ปัจจัยที่จะช่วยเพิ่มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยได้แก่
– จำนวนสถานีชาร์จที่มากขึ้น
– ระยะเวลาชาร์จที่สั้นลง
– การรับประกันแบตเตอรี่
ขณะที่ปัจจัยอย่างสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น การได้สิทธิ์จอดรถยนต์ในที่เฉพาะของรถยนต์ไฟฟ้าตามสถานที่ต่างๆ และยี่ห้อของรถยนต์ อาจไม่มีผลต่อการเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผู้แบบสอบถามส่วนใหญ่สนใจคือ
– มีลักษณะเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่มีราคาระหว่าง 0.75 – 1.0 ล้านบาท
– มีระยะทางการขับขี่ต่อการชาร์จมากกว่า 500 กิโลเมตร
– ค่าบำรุงรักษาต่ำกว่าร้อยละ 1 ของราคารถยนต์
– มีระยะเวลาการชาร์จ 15-30 นาทีต่อการขับขี่ 100 กิโลเมตร
โดยเกือบทั้งหมดของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน (88%) รองลงมาได้แก่ ที่สถานีบริการ (50.4)% และที่ห้างสรรพสินค้า (30.5%)
วิจัยกรุงศรี พบว่า ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจะเริ่มมาถึงในช่วง 1 – 2 ปีนี้ โดยในระยะแรกความต้องการส่วนใหญ่จะเป็นรถที่มีราคาระดับปานกลางและสูง หลังจากนั้นความต้องการจะเร่งตัวสูงขึ้นมากโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท
ลักษณะความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยในช่วงหลายปีข้างหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา ทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีลักษณะแตกต่างกันด้วย ดังนั้น ทั้งผู้ผลิตรถยนต์และผู้ให้บริการจึงต้องหารูปแบบการให้บริการที่เหมาะสมเพื่อที่จะตอบสนองลูกค้ากลุ่มต่างๆ
นอกจากนี้วิจัยกรุงศรียังพบว่า หากจะพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ผู้ใช้รถยนต์มีแนวโน้มเลือกซื้อรถยนต์ยี่ห้อที่ไม่ได้ใช้อยู่ในปัจจุบัน
– 72% ระบุว่าสนใจจะเปลี่ยนยี่ห้อรถ และในจำนวนนี้มี 13% จะลองซื้อรถยนต์จากผู้ผลิตรายใหม่ๆ ที่ไม่เคยผลิตรถยนต์ ICE มาก่อน
– 28% บอกว่ายังคงจะใช้รถยนต์ยี่ห้อเดิม
ดังนั้นผู้ผลิตรถยนต์ที่ปรับตัวไม่ทันกับความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นอาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดได้ เพราะความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ของผู้ใช้รถยนต์ที่ลดลง
ส่งสัญญาณว่าลูกค้ามองรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสินค้าประเภทใหม่ ส่งผลให้สิ่งที่มองหาในรถยนต์และบริการที่เกี่ยวข้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย
แม้ผู้ผลิตรถยนต์รายเดิมจะถือไพ่เหนือกว่าผู้ผลิตรายใหม่ในแง่ของความคุ้นเคยในตลาด แต่การปรับตัวต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดรถยนต์ได้ในอนาคต
วิจัยกรุงศรี ได้ทิ้งท้ายว่า การเปลี่ยนแปลงในระดับอุตสาหกรรมเช่นนี้ มักสร้างความท้าทายให้กับผู้เล่นท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น การขยับตัวและปรับตัวเพื่อรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังจะช่วยให้ผู้เล่นสามารถคว้าโอกาสใหม่ๆ ในโลกยานยนต์ยุคใหม่ได้
ในด้านความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าก็เช่นกัน แม้ในช่วงแรกอาจยังมีอุปสรรคหลายอย่าง แต่การปลดล็อคข้อจำกัด จะทำให้การตอบรับรถยนต์ไฟฟ้าเร่งตัวอย่างรวดเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด
ผู้เล่นที่กระโจนเข้าสู่ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าเร็วก็อาจเผชิญความเสี่ยงที่มาพร้อมกับส่วนแบ่งตลาดก้อนใหญ่ ส่วนผู้เล่นที่ปรับตัวช้าอาจเสียโอกาสเชิงธุรกิจไปได้ มีเพียงผู้เล่นหรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่ขยับตัวในทิศทางและความเร็วที่เหมาะสมเท่านั้นที่จะเป็นผู้คว้าโอกาสธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้
Source: BYD ATTO 3, Smartprix, SCB, วิจัยกรุงศรี