เป็นที่แน่ชัดว่าหนึ่งในนวัตกรรมอนาคตที่จะพลิกโฉมไม่เพียงแค่อุตสาหกรรมธุรกิจต่างๆ แต่เป็นการพลิกโฉมโลกทั้งใบกับนวัตกรรมด้าน AI ทว่า AI ในปัจจุบันเป็นเพียงยุคเริ่มต้น เทียบเท่ากับเด็กอนุบาลที่รอวันเรียนรู้เสริมทักษะความสามารถ นั่นหมายความว่าใครที่นำ AI เข้ามาใช้ก่อนก็สามารถเรียนรู้ความผิดพลาดและเสริมทักษะความสามารถเพื่อให้ทันต่อยุค AI รุ่งเรือง
BMW ค่ายรถยนต์สุดหรูชื่อดังจากเยอรมนีก็มองเช่นนั้นไม่ต่างกัน แต่เพราะ BMW เชี่ยวชาญเรื่องของเครื่องยนต์ระบบขับเคลื่อนมากกว่าเทคโนโลยีดิจิทัล การเป็นพันธมิตรกับผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึง AI จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า นั่นจึงทำให้เกิดความร่วมมือในระดับโลกระหว่าง BMW และ Microsoft ภายใต้ความร่วมมือในชื่อ BMW ConnectedDrive
สำหรับBMW ConnectedDrive เป็นความเชื่อมโยงรถ BMW เข้าไปสู่สมาร์ทโฟนเพื่อเชื่อมต่อผู้ขับขี่กับรถยนต์เป็นส่วนหนึ่งร่วมกันผ่านระบบ Microsoft Azure ที่เน้นการทำงานผ่านระบบ Cloud Service โดยเฉพาะรถยนต์ในรุ่นที่เป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในตระกูล iPerformance
ด้าน นายคริสเตียน วิดมานน์ ประธาน BMW Group Thailand กล่าวว่า “ปี พ.ศ.2561 เป็นการครบรอบปีที่ 20 ของ BMW ConnectedDrive ปัจจุบันแอปพลิเคชั่น BMW Connected มีผู้ใช้งานมากกว่า 2.3 ล้านคนทั่วโลก และมีรถยนต์ BMW กว่า 10 ล้านคันใน 45 ประเทศทั่วโลกที่มีการเชื่อมต่อด้วยฟีเจอร์ของระบบ BMW ConnectedDrive ภายใต้วิสัยทัศน์ NUMBER ONE > NEXT”
สำหรับฟังก์ชั่นการทำงานหลักของ BMW ConnectedDrive ประกอบไปด้วย การแสดงสถานะรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ไม่ว่าจะเป็นสถานะและระดับของแบตเตอรี่ ระยะทางที่สามารไปได้ด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลืออยู่ ข้อมูลเกี่ยวกับการบำรุงรักษารถ, การควบคุมระบบชาร์จไฟและระบบปรับอากาศจากระยะไกล ผู้ใช้งานสามารถควบคุมการทำงานเครื่องปรับอากาศในห้องโดยสารผ่านทางสมาร์ทโฟนได้ ผู้ใช้งานยังสามารถควบคุมการชาร์จ เพื่อเลือกชาร์จไฟในช่วงที่มีอัตราค่าไฟฟ้าต่ำกว่าช่วงเวลาอื่น
ระบบการนำทาง ที่ช่วยค้นหาและนำทางไปยังสถานีชาร์จไฟที่ใกล้ที่สุด, การประมวลและแสดงผลข้อมูลการขับขี่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ของแต่ละบุคคล โดยวิเคราะห์รูปแบบการขับขี่และควบคุมรถยนต์บนท้องถนน โดยความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การพัฒนานวัตกรรมในด้านการประมวลผลข้อมูลในช่วงก่อนจะถึงยุคยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous) สู่การพัฒนานวัตกรรมอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Internet of Things (IoT) มาเสริมประสิทธิภาพและความคล่องตัวในทุกขณะของชีวิต
นอกจากนี้ BMW ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของยานยนต์ไฟฟ้า ที่นอกจากจะช่วยลดการใช้พลังงานและประหยัดเงินในยุคที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงยิ่งกว่าจรวดสำรวจดาวอังคาร ยานยนต์ไฟฟ้ายังช่วยลดการปล่อยก๊าซพิษ รวมไปถึงการออกแบบรูปลักษณ์ยานยนต์ใหม่ โดยยังคงเอกลักษณ์แบบเฉพาะของ BMW อยู่
