หรือธุรกิจด้านบริการคือทางรอดของ Apple? ทำกำไรโตสุด สวนทางยอดขายสมาร์ทโฟนลดลง

อย่างที่รู้กันว่าสถานการณ์ปัจจุบันของ Apple กำลังถูกปัญหารุมเล้ารอบทิศทางอย่างต่อเนื่อง จากทั้งสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และการผงาดตัวของแบรนด์จีนเจ้าถิ่นอย่าง Huawei ทำให้ Apple เสียฐานลูกค้ารายใหญ่ไปค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่าน และต้องยอมรับว่าพฤติกรรมผู้ใช้เปลี่ยนไป คือไม่ได้เลือกซื้อสมาร์ทโฟนเพราะแบรนด์อีกต่อไป แต่เลือกซื้อเพราะเทคโนโลยี ยิ่งแบรนด์ไหนล้ำและตอบโจทย์ในราคาที่ถูกกว่าการสวิตซ์แบรนด์ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

ปีนี้ ไตรมาสแรกของ Apple สามารถทำกำไรรวมอยู่ที่ 46.6 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ไตรมาสแรกของของปี 2018 สามารถทำกำไรรวมได้ 51.3 พันล้านดอลลาร์ ต่อมาในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ทำกำไรรวมอยู่ที่ 58 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงไตรมาสเดียวกัน ถือว่าลดลง จากที่เคยสร้างกำไรไว้ 61.1 พันล้านดอลลาร์

แต่ที่น่าสนใจคือ ธุรกิจด้านบริการของ Apple กลับโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่นบริการใน App Store, iCloud, Apple Pay และ Apple Music ทำรายได้เป็นอันดับที่สอง รองจากผลิตภัณฑ์ iPhone แซงหน้า iMac และ Gadget อื่นๆ ที่มีอายุการใช้งานต่ำกว่า มีการสมัครสมาชิกชำระเงินแล้ว 390 ล้านรายการ รายรับในส่วนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 11.5 พันล้านดอลลาร์ โตขึ้น 16% จากที่เคยทำไว้ที่ 9.19 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อน อดีตธุรกิจด้านบริการถือว่าทำกำไรรั้งท้ายสุด ซึ่งการกลับมาของเซอร์วิสครั้งนี้ ต่างสอดคล้องกับสิ่งที่ Apple ได้พยายามอยู่ ทั้งบริการเกม คอนเทนต์แบบออริจินัล บริการเพย์เมนต์ หรือนิวส์ต่างๆ หรือนี่อาจเป็นทางรอดของ Apple

ทั้งอย่างนั้น Apple ก็ต้องผลักดันให้หันมาใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้น เพราะราคาที่สูงกว่าชาวบ้านเขาอาจจะต้องมีโปรโมชั่นที่น่าสนใจมากกว่านี้ หรืออย่างในประเทศจีนเอง ก็มีการปรับลดราคาสินค้าลงแล้วบ้าง แต่ก็ยังโดนติงอยู่ดีเพราะยังถือว่าราคาสูง

Huawei จี้หลัง Samsung ตามมาติดๆ

สำหรับภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก ต้องบอกว่า Apple อาการหนักเอาเรื่อง มันอาจไม่ใช่ยุคของแบรนด์ผลไม้อีกแล้ว จากรายงานของ IDC ปีนี้  Apple มีส่วนบางของตลาดอยู่ที่ 11.7% เท่านั้น ลดจากปีที่แล้วที่มียอดขายอยู่ 15.7% ขณะเดียวการปีนี้ Huawei ประกาศท้าทุกแบรนด์พร้อมขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งให้ได้ ฝันอาจไม่ไกลเกินเอื้อมซะแล้ว เพราะสามารถทำยอดขายรวมไตรมาสแรกปีนี้ได้ 19% จี้หลัง Samsung ที่มีส่วนแบ่งตลาด 23.1%

ที่มา cnbc.com