สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน นับวันยิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากความพยายามตั้งกำแพงภาษี ขู่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกลุ่มสินค้านำเข้า ปกติอยู่ที่ 10% จะคิดเพิ่มเป็น 25% ภายในปี 2019 แน่นอนว่าขึ้นชื่อว่า “สงคราม” ย่อมไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายไหน ถึงแม้การตั้งกำแพงภาษีดังกล่าวจะถูกพักไปชั่วคราว (ชะลอออกไป 90 วัน) เนื่องจากมีการเจรจาต่อรองในการประชุมใหญ่ G20 แต่สำหรับนักลงทุนแล้วเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เกิดการชะลอตัวด้านการลงทุน กระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศจีน รวมถึงการลดการใช้จ่ายของประชาชนในประเทศ
Apple Inc. คือหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลเสียจากสงครามการค้าอย่างจัง แม้ในปี 2018 จะสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐก็ตาม แต่พอสรุปรายได้ในไตรมาสที่ 4 พบว่า รายได้กลับลดลงอยู่ที่ 84,000 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่เคยทำได้สูงสุดประมาณ 89,000-93,000 ล้านดอลลาร์ จนต้องส่งจดหมายเป็นเรื่องเป็นราวให้นักลงทุนเพื่อชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น และมีการคาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 1 ปี 2019 รายได้จะลดลงอีก นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกว่า หุ้นของ Apple ร่วงลง 10% ในนิวยอร์กเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการร่วงลงที่มากที่สุดในรอบเกือบ 6 ปี ของบริษัท
ซึ่งการร่อนจดหมายดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนให้ Apple อีกด้วย Hon Hai Precision (HNHPD) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Foxconn ลดลง 2%,Catcher Technology บริษัท ไต้หวันที่ผลิตเคส iPhone ลดลงเกือบ 4%, AMS (AMSSY) ของออสเตรียผลิตเซ็นเซอร์วัดแสง ลดลงมากกว่า 19%, ผู้ผลิตชิปในยุโรป Dialog Semiconductors (DLGNF) และ STMicroelectronics (STM) ลดลง 7%
สำหรับสถานการณ์ของ Apple ประเทศจีนยังคงเป็นตลาดสำคัญในการสร้างรายได้ คิดเป็น 15% ของรายได้ทั่วโลกที่บริษัททำได้ ส่วนสินค้าหลักที่สร้างรายได้คงหนีไม่พ้น ผลิตภัณฑ์ iPhone สร้างรายได้จากสองในสามให้บริษัท และ iPhone ยังเป็นสินค้าหลักที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคใช้สินค้าพ่วงเพิ่ม อาทิ MacBook, Apple Watch, AirPods, และบริการต่างๆ เช่น Apple Music และ App Store
Apple เจอศึกหนักจากสมาร์ทโฟนแบรนด์จีน
Apple ต้องเผชิญการแข่งขันอย่างสูงในตลาดทั่วโลก นอกจากจะต้องแข่งกับ Samsung แล้ว ยังต้องแข่งกับสมาร์ทโฟนแบรนด์จากประเทศจีน ที่มีการเติบโตและได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่าง Huawei, Xiaomi, OPPO และสมาร์ทโฟนม้ามืด One Plus จากกราฟจะเห็นได้ว่า Samsung ยังนำโด่ง แต่ที่น่าสนใจจากเดิมที่มียอดขายนำ Huawei แต่ในปี 2018 กลับถูก Huawei แซงหน้าเป็นที่เรียบร้อย
ราคา iPhone สูงกว่ารายได้ของมนุษย์เงินเดือน
iPhone XS Max เป็นรุ่นท็อปอันดับต้นๆ ของ iPhone เริ่มต้นที่ 9,599 หยวน ($ 1,400) ในประเทศจีน ส่วนโทรศัพท์รุ่นของ Huawei และ Oppo มีราคาราวๆ 4,000 ถึง 5,000 หยวนหรือครึ่งหนึ่งของ iPhone จะเห็นได้ว่าราคาค่อนข้างต่างกันเยอะพอสมควร แม้ iPhone XR ของ Apple ซึ่งน่าจะเป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่าสำหรับ iPhone ระดับสูง แต่ราคายังถือว่ามากกว่าสมาร์ทโฟนคู่แข่งประมาณ 1,000 หยวน
รายได้เฉลี่ยต่อเดือนในประเทศจีนอยู่ที่ 7,850 หยวนในไตรมาสที่สามของปี 2018 ซึ่งหมายความว่า iPhone ใหม่ส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายมากกว่าเงินหนึ่งเดือนของการทำงาน สำหรับประเทศไทย iPhone รุ่นเรือธงหนึ่งเครื่อง อาจจะต้องใช้เงินเดือนถึง 2 – 5 เดือน เพื่อแลกกับสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของ Apple
ที่มา : Bloomberg.com, CNN