“ดิจิทัล” และ “พฤติกรรมผู้บริโภค” สองเทรนด์เปลี่ยนโลกที่ทำให้ทุกอุตสาหกรรมต้องลุกขึ้นมา “ปรับ” ไม่เว้นแม้แต่ “ธุรกิจขายตรง”
ผ่าความสำเร็จและปัจจัยสำคัญที่ทำให้แอมเวย์สามารถยืนหนึ่งในสังเวียนธุรกิจขายตรงไทยนานกว่า 32 ปี เกิดจากแผนกลยุทธ์การทำธุรกิจที่มีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เห็นได้จากความสำเร็จด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในปี 2561 ที่ผ่านมาแอมเวย์ประเทศไทยยังสร้างผลประกอบการด้วยยอดขายสูงสุดถึง 19,000 ล้านบาท
โดยแอมเวย์ถือเป็นแบรนด์ที่เน้นการชู Product Solution นำเสนอสินค้าคุณภาพระดับพรีเมียมเพื่อแก้ไขปัญหาหรือตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลของผู้บริโภคเป็นหลัก ขณะเดียวกันจุดเด่นของรูปแบบการดำเนินธุรกิจคือการมี “นักธุรกิจแอมเวย์” เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจแอมเวย์ประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ดีการเป็นผู้นำธุรกิจขายตรง แอมเวย์เองอาจจะไม่ได้รับผลกระทบกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของโลกยุค Disruptive เท่าไหร่นัก เพราะมีจุดแข็งในเรื่องของ Loyal Consumer มีฐานลูกค้าและผู้บริโภคที่ภักดีต่อแบรนด์สูง แต่หากวัดกันในระยะยาว ปฏิเสธไม่ได้ว่า “แต้มบุญ” ที่สั่งสมมาก็อาจมีวันหมดลง หากต้องเผชิญกับ Digital Disruptive ที่กำลังโหมกระหน่ำอย่าง “เร็ว” และ “รุนแรง” ในเวลานี้
“แอมเวย์จึงเลือกที่จะ Disrupt ตนเอง เพื่อปฏิวัติธุรกิจขายตรงให้ทันสมัย ตอบโจทย์ทุกกลุ่มทุกวัย”
กิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เกริ่นถึงแผนการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ของแอมเวย์สู่ยุคดิจิทัล และการเปิดตัว CORE PLUS+ โปรแกรมเงินรางวัลพิเศษสำหรับนักธุรกิจแอมเวย์ทั้งผู้เริ่มต้นทำธุรกิจไปจนถึงนักธุรกิจระดับผู้นำ และเป็นการลงทุนสูงสุดของแอมเวย์โกลบอลในรอบ 60 ปี
“ต้องยอมรับว่า ความเป็นธุรกิจขายตรงจะมีธรรมชาติที่ค่อนข้างเป็น “Traditional” อยู่เยอะ เราเองมองว่านี่คือเสน่ห์สำคัญของขายตรง ที่ยังคงเป็นเรื่องของความเป็น Human Touch แต่ดิจิทัลเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้วันนี้เราจะยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่เราก็เลือกที่จะ Disrupt ตัวเองก่อน”
ขณะที่ปัจจัยส่วนหนึ่งเกิดจากแอมเวย์เห็นสัญญาณหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น จำนวนฐานนักธุรกิจแอมเวย์ปัจจุบันที่มีกว่า 330,000 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มมิลเลนเนียลประมาณ 1 ใน 3 และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ทั้งจากการทำสำรวจของแอมเวย์โกลบอลที่พบว่า คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มไม่อยากเป็นลูกจ้างอีกต่อไป โดย 77% ยังแสดงความสนใจชัดว่าต้องการมีธุรกิจของตัวเอง สะท้อนว่าการแข่งขันยุคนี้ คู่แข่งยังไม่น่ากลัวเท่าพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยน
“สิ่งที่ได้เรียนรู้พฤติกรรมคนยุคนี้ คือ มีความต้องการทำอะไรแล้วได้รายได้ทันใจ เร็ว และได้เพิ่มขึ้น ที่สำคัญไลฟ์สไตล์ต้องมี” กิจธวัช กล่าว
“CORE PLUS+” และ “Digital” จึงเป็นหมัดเด็ดชุดใหญ่ และเป็นสองกลยุทธ์สำคัญที่แอมเวย์นำมาเสริมทัพระยะยาว
สำหรับ CORE PLUS+ เป็นโปรแกรมที่แอมเวย์พัฒนามาเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมคนยุคนี้ ด้วยจุดเด่นสำคัญ คือ ได้รายได้ เร็วขึ้น มากขึ้น และยั่งยืนขึ้นในระยะยาว ซึ่งประกอบด้วยเงินรางวัลที่มากขึ้นเป็นแม่เหล็กจูงใจ สำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำธุรกิจก็จะได้รับผลตอบแทนทันทีตั้งแต่ขายสินค้าได้ชิ้นแรก
นอกจากนี้ แอมเวย์ยังหยอดเงินรายได้เพิ่มต่อเนื่องในทุกสเต็ปของการสร้างรายได้ รวมถึงการเพิ่มเงินรางวัลและลำดับขั้นความสำเร็จที่จะจูงใจกลุ่มนักธุรกิจในช่วงเริ่มต้นได้มากยิ่งขึ้น และต่อยอดไปถึงนักธุรกิจระดับผู้นำที่จะสามารถทำรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง มีองค์กรธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืน
“โจทย์คือทำอย่างไรให้คนที่จะเข้ามาใหม่ เขามีความหวังมากขึ้นว่าเขาจะสามารถสร้างรายได้และเติบโตในธุรกิจแอมเวย์ได้อย่างยั่งยืน”
สำหรับประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกในโลกที่เปิดตัว CORE PLUS+ ในเดือนกันยายนนี้ ตามด้วยอีก 3 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง และไต้หวัน
ส่วนอีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือการลงทุนยกเครื่องดิจิทัลทุกแพลตฟอร์ม เพื่อรองรับ
เทรนด์การซื้อขายสินค้าในโลกอนาคตด้วยระบบ e-commerce เต็มรูปแบบ รวมทั้งการพัฒนาประสบการณ์ดิจิทัล เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภคในทุก Touch point
“นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมผู้บริโภค แต่โครงสร้างธุรกิจขายตรงยังคงอยู่ และในเรื่อง Human touch จะพัฒนาขึ้น จาก Person to Person สู่ความเป็น Hi tech & Hi touch เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างนักธุรกิจและลูกค้าด้วยประสบการณ์ในรูปแบบดิจิทัล”
สำหรับการลงทุนต่อปีโปรแกรม CORE PLUS+ จะใช้เม็ดเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท บวกกับแผนพัฒนาด้านดิจิทัลอีก 100 ล้านบาท จากกลยุทธ์ใหม่นี้ กิจธวัชคาดว่าจะทำให้แอมเวย์ทะลุ 30,000 ล้านบาทภายในปี 2025 หรืออีก 5-6 ปีข้างหน้าแน่นอน
ศึกษาข้อมูล Core Plus+ เพิ่มเติม www.amwaytodaythai.com