ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจผันผวนของโลกทุกวันนี้ คนทำงานจำนวนไม่น้อยเลือกจะลงแรงให้หนักขึ้นเพื่อสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นหรือชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่า ภาวะนี้ทำให้บางคนไม่มี Work-Life Balance และต้องใช้ชีวิตแบบ “Work ไร้ Balance” แทน โดยเฉพาะคนในกรุงเทพฯ จากผลสำรวจล่าสุดพบว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองอันดับ 5 ที่ผู้คนทำงานหนักที่สุดในโลกประจำปี 2022
ผลสำรวจนี้ตอกย้ำถึงการเติบโตของวัฒนธรรมการทำงานแบบ “Always-On” ในไทยที่ชัดเจน แน่นอนว่าเทรนด์นี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น เพราะคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมการตลาดรับรู้มานานแล้ว ถึงความสำคัญของการส่งเสริมความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ซึ่งทำให้เกิดการส่งเสริมหลายรูปแบบให้ผู้คนใช้เวลากับตัวเอง และมีความสุขกับชีวิตนอกเวลาทำงาน
Afterwork By Heineken® เป็นมากกว่าแผนการตลาดธรรมดา เพราะเป็นการสะท้อนถึงค่านิยมและความมุ่งมั่นของ Heineken® ในการส่งเสริมการใช้ชีวิตที่มีสมดุลมากขึ้น โดยเลือกที่จะแก้ปมของปัญหาการขาด Work-Life Balance ด้วยการสื่อสารให้ชาวออฟฟิศมาผ่อนคลายหลังเลิกงานผ่านมุมมอง Quality Socialising ซึ่งเป็นหลักการสร้าง “Afterwork Moment” ในองค์กรไทยจาก Heineken® ที่น่าสนใจ รวมถึงการจับมือ 100 ร้านอาหารและเอาท์เล็ทกินดื่มทั่วประเทศ เพื่อจุดกระแส “สังสรรค์อย่างมีคุณภาพหลังเลิกงาน” อย่างยิ่งใหญ่ในวงการ Work-Life Balance เมืองไทย
Work-Life Balance ที่ดีเริ่มมาจากการปิดสวิตช์การทำงานให้เป็น
การขยายตัวของวัฒนธรรมการทำงานแบบ Always-On Work Culture ที่เน้นความพร้อมทำงานตลอดเวลา จนขาดเวลาพักผ่อนหลังเลิกงาน ทำให้ Heineken® ต้องการสนับสนุนมุมมองความสมดุลของชีวิตการทำงานในประเทศไทย โดยสะท้อนแนวคิดผ่านแคมเปญ Afterwork By Heineken® เพื่อสื่อสารให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหรือผู้บริโภควัยทำงานในสิ่งที่แต่ละคนให้ความสำคัญ กับการปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว
สิ่งที่ Heineken® อยากเห็นคือการที่คนทำงานไม่ลืม Switch Off จากการทำงาน และ Switch On ช่วงเวลาการใช้ชีวิตหลังเลิกงาน ชูคอนเซ็ปต์ “Clock-out! It’s Afterwork Time” ซึ่งถือเป็นแนวคิดหลักของแคมเปญ Afterwork by Heineken®
Heineken® ใช้วิธีจัดกิจกรรมและเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายคนทำงานแบบหลายทาง หนึ่งในนั้นคือการร่วมมือกับบริษัทคนรุ่นใหม่ ที่มีแนวคิดและวัฒนธรรมองค์กรที่ตรงกันในเรื่องของการส่งเสริมให้พนักงานมีสมดุลที่ดีระหว่างช่วงเวลางานและชีวิตส่วนตัว โดยมีการส่ง Afterwork Fridge (ตู้เย็น) ไปให้บริษัทพันธมิตรชั้นนำกว่า 20 แห่ง เช่น, What The Duck / Warner Music Thailand / Major Cineplex / กลุ่มบริษัท CDG / The Standard / ConNEXT by Techsauce / Asia City Media Group (BK Magazine) / ฯลฯ เพื่อสร้าง “Afterwork Moment” ในองค์กร สะท้อนถึงมุมมองแนวคิด Quality Socialising ของการเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนได้มีเวลาใช้ชีวิตของตัวเองในช่วงเวลาหลังเลิกงาน ภายใต้นโยบายการจัดการของแต่ละบริษัท
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษร่วมกับร้านค้า ร้านอาหารพาร์ทเนอร์ รวมกว่า 100 ร้านค้า ทยอยจัดกิจกรรมพิเศษในช่วงเวลาหลังเลิกงานให้คนไทยได้ปลดปล่อยความเครียดจากการทำงานและรีเฟรชความสดชื่นกันได้ตลอดทั้งปี ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับแนวคิด “Clock Out! It’s Afterwork Time” ที่ตอบโจทย์กับเป้าหมายของ Heineken® เรื่องส่งเสริมให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตหลังเลิกงานได้อย่างเต็มที่
ในภาพรวม Heineken® หวังให้แคมเปญนี้มีส่วนผลักดันชาวออฟฟิศให้ได้ไปคลายเครียดหลังเลิกงาน ด้วยการมีโมเม้นต์การพักผ่อนในสไตล์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ช่วงเวลารับชมการแข่งขันกีฬาจากทีมโปรด ช่วงเวลามื้อค่ำรับประทานอาหารมื้อเด็ด คืนสังสรรค์ปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ ช่วงเวลาจัดปาร์ตี้ที่บ้านกับเหล่าคนสนิท หรือช่วงเวลาการพักผ่อน
ดึงเทรนด์โลกเป็น Key-Driver
การเปิดทางให้ทุกคนได้ไปเฮกับโมเม้นต์หลังเลิกงาน “Clock Out! It’s Afterwork Time” ถือเป็นอีกก้าวของแบรนด์พรีเมียมระดับโลกอย่าง Heineken® ที่ดึงเอาแนวโน้มระดับโลก (world trends) หรือจุดเจ็บปวด (pain point) ของชาวออฟฟิศ มาใช้เป็น key-driver ในการเปิดตัวแคมเปญการตลาดในรูปแบบใหม่ ทำให้สามารถตอกย้ำว่า Heineken® กำลังช่วยต่อต้านผลกระทบด้านลบของวัฒนธรรมการทำงานที่ต้องทำงานตลอดเวลา ด้วยการสนับสนุนให้ผู้คนใช้เวลาเพื่อตัวเองและมีความสุขกับชีวิตนอกเหนือจากการทำงาน
ที่สุดแล้ว แคมเปญ Afterwork By Heineken® จะเป็นเครื่องเตือนใจที่ทรงพลัง ว่าความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานในยุคนี้ มีความสำคัญยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต การใช้เวลาเพื่อตัวเองและเพลิดเพลินกับช่วงเวลาหลังเลิกงาน จะทำให้ชาวออฟฟิศทุกคนสามารถยกระดับความเป็นอยู่ และมีชีวิตที่มีความสุขอย่างแน่นอน