เปิด 5 เทรนด์การศึกษาแห่งอนาคต ‘ทักษะทางภาษา ควบคู่ กับการเรียนรู้แบบองค์รวม’ ปั้นเด็กสู่การเป็นพลเมืองโลก

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ในโลกอนาคต ความสามารถสองภาษาไม่ใช่แค่ข้อได้เปรียบ แต่เป็นสิ่งจำเป็น ทักษะทางภาษาจะต้องก้าวไปไกลกว่าการสื่อสารทั่วไป อะไรคือสิ่งที่เด็กยุคใหม่ต้องมี เพื่อก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลง?

รู้จัก 5 เทรนด์หลักด้านการศึกษาแห่งอนาคต ที่จะพลิกโฉมวิธีการเรียนรู้ เปิดโอกาส และเตรียมความพร้อมให้เด็ก ๆ มีศักยภาพครบทุกด้านในการทำงานและใช้ชีวิต

5 เทรนด์การศึกษาแห่งอนาคต ปั้นเด็กสู่พลเมืองโลก

1.ภาษาจีนและภาษาอังกฤษจะกลายเป็นภาษาหลักของโลก

ในยุคที่โลกไร้พรมแดน สามารถติดต่อกันได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ภาษาจีนและภาษาอังกฤษกลายเป็นเหมือนพาสปอร์ตใบสำคัญที่เปิดประตูสู่โอกาสมากมาย เนื่องจากเป็นสองภาษาที่มีอิทธิพลมากที่สุดในวงการการศึกษาและธุรกิจทั่วโลก โดยภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันอย่างแพร่หลาย ครอบคลุมเนื้อหาบนเว็บไซต์เกือบ 26% ขณะที่ภาษาจีนเป็นภาษาที่ใช้โดยประชากรมากกว่า 1.2 พันล้านคนทั่วโลก ประกอบกับอิทธิพลทางเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ยังเป็นแรงขับเคลื่อนให้ภาษาจีนก้าวขึ้นเป็นภาษาที่สำคัญอีกภาษาหนึ่ง การเปิดโอกาสให้สามารถเรียนรู้ทั้งสองภาษาตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงทำให้นักเรียนมีความรู้ทางภาษาที่กว้างขวางขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้นักเรียนได้สัมผัสวัฒนธรรมที่หลากหลาย และพร้อมที่จะก้าวไปสู่เวทีโลกอย่างมั่นใจในอนาคต

2.ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่แตกต่าง

การเรียนรู้ภาษาหลายภาษานั้นเปรียบเสมือนการปูพื้นฐานด้านวัฒนธรรมที่หลากหลาย เข้าใจความเป็นมา และบ่มเพาะความสามารถในการปรับตัวที่แข็งแกร่งในวัฒนธรรมที่แตกต่าง ซึ่งจะช่วยเปิดทางสู่โอกาสต่อไปในอนาคต

3.ทักษะทางอารมณ์และสังคมในยุคดิจิทัล

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ทักษะที่สำคัญที่สุดคือทักษะแห่งการอยู่ร่วมกัน และทักษะทางอารมณ์ หรือ Emotional Intelligence การเรียนรู้สองภาษาจะช่วยปลูกฝังทักษะเหล่านี้ให้กับนักเรียนตั้งแต่วัยเยาว์ ทำให้สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ สามารถควบคุมอารมณ์ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขโดยเฉพาะเมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มตัว ทั้งยังจะเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การสรรหาบุคลากรของบริษัทต่าง ๆ ภายในปี 2030 อีกด้วย

4.การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม

เมื่อโลกเชื่อมโยงกันได้ง่ายมากขึ้น ภาษาจึงมีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิต รวมไปถึงการสื่อสารระหว่างบุคคลและองค์กรในที่ทำงาน ซึ่งบริษัทที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูง พบว่ามีผลกำไร 36% มากกว่าบริษัทที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมต่ำ อีกทั้งการทำงานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายยังช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน ในด้านของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากมีการแบ่งขั้วและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ความต้องการทักษะเฉพาะทางบางกลุ่ม รวมถึงทักษะทางภาษาที่หลากหลาย (Multilingualism skill) มีเพิ่มขึ้นถึง 32.4% ซึ่งความสามารถในการเข้าใจมุมมองที่หลากหลายผ่านภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันนี้ สามารถเพิ่มศักยภาพในการเป็นผู้นำและส่งเสริมทักษะด้านนวัตกรรมในอนาคตอีกด้วย

5.การศึกษาสองภาษาตั้งแต่วัยเด็กช่วยเสริมสร้างการพัฒนาสมองของเด็ก

วัยเด็กเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเริ่มต้นการศึกษาสองภาษา 90% ของการพัฒนาสมองเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็ก สอดคล้องกับเทรนด์การศึกษาสองภาษาในช่วงวัยเด็ก โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-5 ปี ที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการที่สนุกสนานและสอดคล้องกับวัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ทางภาษาและความยืดหยุ่นทางปัญญา

สำหรับ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส (Shrewsbury International School Bangkok City Campus) มุ่งมั่นที่จะสร้างเยาวชนที่ไม่เพียงแค่พูดได้สองภาษา แต่ยังมีวิสัยทัศน์กว้างไกล เข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรม และพร้อมเป็นพลเมืองของโลก ล่าสุด เปิดตัวโปรแกรม ฮั่นชิง เส้นทางการเรียนรู้สองภาษา จีนกลางและอังกฤษ (Hanqing Bilingual Pathway) เปิดสอนสำหรับนักเรียนระดับ Early Years 1 – 2 (อายุ 3 – 4 ปี) ขึ้นไป ออกแบบภายใต้แนวคิด ‘One Campus, Two Pathways’ เพื่อให้ผู้ปกครองและนักเรียนสามารถเลือกแนวทางการศึกษาที่เหมาะสมระหว่างหลักสูตรภาษาอังกฤษแบบปกติ (British Curriculum) หรือ Hanqing Bilingual Pathway ที่เน้นพัฒนาทักษะทางภาษาควบคู่กับการเรียนรู้แบบองค์รวม โดยแบ่งเป็น ภาษาจีนกลาง 45% ภาษาอังกฤษ 45% และภาษาไทย 10% มีครูผู้สอนเป็นเจ้าของภาษาที่มีคุณวุฒิเทียบเท่ากับใบรับรองการสอนของประเทศอังกฤษ (QTS Qualified Teacher Status) โปรแกรมนี้ได้รับการออกแบบเพื่อเสริมสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความยืดหยุ่นทางปัญญา และความพร้อมในการทำงานระดับสากลในอนาคต รวมถึงยังเป็นการยกระดับมาตรฐานใหม่ของการศึกษาสองภาษาในประเทศไทย ผ่านการพัฒนาเด็กไทยสู่พลเมืองโลกที่มีศักยภาพในการแข่งขันระดับสากล

เกี่ยวกับโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ
โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ เป็นหนึ่งในโรงเรียนนานาชาติชั้นนำของประเทศไทยและของเอเชีย และยังเป็นสาขาแรกในเอเชียของโรงเรียนโชรส์เบอรี ประเทศอังกฤษ โดยโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ริเวอร์ไซด์ ที่ถนนเจริญกรุง ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 รวมเวลากว่า 20 ปี ตามด้วยโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส ที่เปิดสอนในปี พ.ศ. 2561 ที่ย่านสุขุมวิท-พระราม 9 โดยเป็นโรงเรียนระดับปฐมวัยที่เชี่ยวชาญในการปูพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเรียนรู้และทักษะชีวิตต่าง ๆ เปิดรับนักเรียนอายุ 2 ถึง 11 ปี ตั้งแต่ระดับชั้นก่อนอนุบาล (Nursery) จนถึงประถมต้น Year 6 ตามหลักสูตรอังกฤษ ซึ่งมีการเรียนการสอนแบบ ‘1 แคมปัส 2 เส้นทางการเรียนรู้ (One Campus, Two Pathways)’ โดยผู้ปกครองและนักเรียนสามารถเลือกเรียนระหว่างหลักสูตรอังกฤษ (British Curriculum) ทุกวิชาเป็นภาษาอังกฤษ 100% (ยกเว้นวิชาภาษาอื่น ๆ) หรือเลือกเรียนโปรแกรมฮั่นชิง เส้นทางการเรียนรู้สองภาษา จีนกลางและอังกฤษ สอนวิชาต่าง ๆ ในสองภาษาควบคู่กันไป นักเรียนที่จบการศึกษาจากชั้น Year 6 ที่ซิตี้แคมปัส จะสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับชั้น Year 7 ได้ทันทีที่โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ริเวอร์ไซด์ ไปจนถึงอายุ 18 ปี เพื่อเตรียมตัวก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ มีประวัติผลการเรียนและการสอบของนักเรียนที่ยอดเยี่ยม โดยเป็นหนึ่งในโรงเรียนอันดับต้น ๆ ที่มีสถิตินักเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศในภูมิภาคยุโรป เอเชีย และโอเชียเนีย สูงสุด


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
pigabyte
การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น มาเรียนรู้และสนุกไปกับบทความ จาก MarketingOops! กันนะคะ แล้วเราจะได้ค้นพบว่าโลกของ Marketing นั้น So Sexy and Cool!