ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่หนักหน่วงของ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Facebook ก็ว่าได้ เราเห็นทั้งความสุขุมและความหนักใจของเจ้าพ่อโซเชียลมีเดียคนนี้แล้ว
แม้ว่าการเข้าให้ปากคำของเขากับสภาคองเกรส หลายเสียงจะยกให้สอบผ่าน ทว่า จากทั้งหมดมากกว่า 600 คำถาม แต่เราได้บทเรียนจากตรงนี้อย่างไรบ้าง จึงได้หยิบยก 12 คำถามสำคัญที่เราสามารถนำมาใช้ทบทวนและพิจารณาตัวเองในการทำธุรกิจของเราเองได้ ดังนี้
1.จริงๆ แล้วธุรกิจคุณทำอะไร
ต้องเริ่มถามตัวเองให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้คิดเล็กเกินไป และตลาดเซ็กเมนต์ที่คุณต้องการไปนั้นมันใหญ่พอที่จะรองรับการเติบโตไปข้างหน้าได้ด้วย
ถามตัวคุณเองว่าธุรกิจของคุณจริงๆ แล้วทำอะไร และอะไรคือตลาดของคุณ หรือช่องทางตลาดของคุณ เพื่อที่จะปลดล็อคและก้าวไปสู่การเติบโตที่ใหญ่กว่าเดิมให้ได้
2.ใครคือกลุ่มเป้าหมายของคุณ และคุณจะเข้าถึงพวกเขาได้อย่างไร
ไม่สำคัญว่าธุรกิจของคุณจะต้องปรากฏตัวให้ทุกคนเห็น แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่าง Procter & Gamble ก็แค่ชัดเจนว่าต้องการขายอะไรให้กับใคร
นอกจากนี้ ยังสำคัญด้วยว่าหากคุณรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใครแต่คุณไม่อาจเข้าถึงพวกเขาอย่างมีประสิทธิภาพได้ก็อาจจะไม่มีความหมาย ดังนั้น ต้องเข้าใจด้วยว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณอยู่ที่ไหน และจะรับ message ของคุณได้ทางไหน เพื่อเป็นโอกาสในการสร้างบทสนทนาได้ ก่อนที่จะนำไปสู่การขาย
3.คุณพยายามจะหาลูกค้าใหม่ หรือให้ลูกค้าเดิมซื้อเพิ่มขึ้นหรือไม่
มีความแตกต่างของสองวิธีนี้ในการไปสู่เป้าหมายเพื่อการเติบโต มีแผนการตลาดมากมายที่ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะว่าพวกเขาไม่เคยเริ่มจากความชัดเจนและการจัดลำดับที่ดี
4.อะไรคือความต้องการที่แท้จริง ที่จะเติมเต็มธุรกิจของคุณได้ หรือสิ่งทีเป็นปัญหานั้นได้รับการแก้ไขหรือยัง
คำแนะนำธรรมดาที่สุดเลยคือ ‘สินค้า’ ของคุณได้เติมเต็มรูโหว่บางอย่างหรือยัง ทำไมโลกถึงต้องการสินค้าหรือบริการของคุณ หรือปัญหาของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคืออะไรคุณเข้าไปช่วยมันได้อย่างไร
เป็นเรื่องเล็กๆ แต่สำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณไปต่อได้ในแบบที่ไม่มีใครทำ ถ้าคุณนำเสนอความแตกต่างจากคนอื่นและถ้ามันมีวาลูพอ มันชัดเจนที่สุดที่คุณจะได้รับการเลือกจากลูกค้าก่อนใครและเติบโตอย่างมั่นคงอีกด้วย
5.ใครคือคู่แข่งของคุณ
ยกตัวอย่างสิ่งที่ทำให้ Walmart พลาดคือการกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายพลาด ว่าใครก็ตามที่มีเงินคือลูกค้า และใครก็ตามที่เป็นรีเทลเลอร์คือคู่แข่ง แต่ปรากฏว่าเมื่อพบกับความจริงว่า คู่แข่งไม่ใช่มีเพียงรีเทลเลอร์เท่านั้น แต่รวมไปถึงออนไลน์ทุกรูปแบบด้วย
ดังนั้นเริ่มต้นที่การกำหนดกลุ่มเป้าหมายของเราให้ชัดเจนเสมอ แล้วจากนั้นก็กำหนดคู่แข่งของเราให้ชัดเจนด้วยว่าเรากำลังแข่งกับใคร เพราะว่าคุณจะต้องถูกนำมาเปรียบเทียบกันไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง และที่สำคัญคือแหล่งมีจำกัดถ้าไม่รีบเราก็จะช้ากว่าคนอื่น
6.อะไรคือเทรนด์สำคัญในอุตสาหกรรมของคุณ
ถ้าคุณกำลังทำประตูได้ดีในอุตสาหกรรมของคุณเองตอนนี้ ก็นับเป็นเรื่องที่ดีแต่อย่าประมาทในการประเมินเทรนด์หรือสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ วันหนึ่งคุณก็อาจจะเผชิญวิกฤตแบบเดียวกับ Kodak, Xerox, Blockbuster ฯลฯ
7.อะไรที่จะเข้ามาเปลี่ยนอุตสาหกรรมของคุณได้บ้าง
คล้ายกับคำถามในข้อ 6 ซึ่งเป็นคำถามที่ Jeff Bezos มองธุรกิจ Amazon อยู่ทุกๆ วัน อย่างไรก็ตามก่อนที่จะไปมองหาอะไรที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ควรจะต้องพิจารณาไม่แพ้กันก็คืออะไรคือรากฐานสำคัญของธุรกิจของเรา คุณต้องแน่ใจว่าทำให้มีประสิทธิภาพเพียงพอแล้วที่จะไปหามองหรือไล่หาโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างการเติบโต
8.คุณนิยามความสำเร็จอย่างไร และวัดผลมันอย่างไร
เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการสร้างธุรกิจ ขึ้นอยู่กับความชัดเจนที่คุณจะมุ่งมั่นไปสู่ชัยชนะของคุณ คุณจะได้อะไรจากสิ่งที่คุณวัด ดังนั้น ระบบของการวัดผลจึงต้องชัดเจนและแน่นอน
9.กลยุทธ์ในการตั้งราคา
หลายธุรกิจไม่มีความชัดเจนในเรื่องกลยุทธ์ด้านราคา ซึ่งถ้าหากคุณวางกลยุทธ์จุดนี้ไว้อย่างดี การปรับขึ้นหรือปรับลดราคาไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อธุรกิจ
หากผู้บริโภคสับสนเรื่องการตั้งราคาที่ไม่สอดคล้องกันของสินค้าหรือบริการของคุณ จะไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด ร้ายไปกว่านั้นอาจจะรู้สึกว่าการตั้งราคาไม่เป็นธรรมพลอยทำให้ธุรกิจของคุณไม่เป็นที่ต้อนรับไปด้วย
10.อะไรคือส่วนที่ให้กำไรมากที่สุดในธุรกิจของคุณ
การรู้ว่าที่ไหนอย่างไรที่ทำให้คุณทำเงินได้ เป็นส่วนสำคัญอย่างแรกของการทำธุรกิจ จากนั้นมันก็คือการออกแบบแผนเพื่อรองรับคำถามเหล่านั้น ซึ่งประกอบด้วยส่วนผสมหลายอย่างที่นำไปสู่การขายเพื่อผลกำไร
11.อะไรคือเป้าหมายและคุณค่าของธุรกิจ
คุณค่าของบริษัทที่จะช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กรในบริษัทของคุณ ซึ่งมันจะต้องชัดเจน ชัดเจนตั้งแต่การแจ้งถึงเป้าหมายในการจ้างงานและการให้บริการเพื่อการตัดสินใจที่ยากลำบากในหลายๆ ครั้งของการทำธุรกิจ
เมื่อคุณรู้ว่าอะไรคือเป้าหมายของการทำธุรกิจก็จงยึดเอาไว้ให้มั่นและมุ่งไปสู่จุดนั้น
12.คุณมีแผนงานใน 6 เดือน และ 10 เดือนแล้วหรือยัง
สิ่งหนึ่งที่คุณเรียนรู้ได้จาก Facebook ก็คือเป็นบริษัทที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการวางแผนเรื่องของอนาคต เช่น อะไรควรจะเกิดขึ้นในอีก 30 ปีข้างหน้า ซึ่งเราอาจจะไม่ต้องไปขนาดนั้นแค่สัก 10 ปีก็พอ หรือการวางแผนว่าอะไรควรจะเกิดขึ้นในอีก 6 เดือน หรืออย่างน้อยก็มีการวางแผนในอีก 3-5 ปีว่าหากสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจเปลี่ยนเราจะต้องรับมือมันอย่างไร
เหนือไปกว่าการวางแผนอนาคต แต่มันคือการสร้างความมั่นใจในระยะยาวว่าคุณมีแผนรองรับที่ดีรออยู่ พร้อมกับสร้างแผนระยะสั้นวางเอาไว้ในการลงมือทำด้วย.
ที่มา Inc.com