ถึงแม้ว่าภาพรวมของตลาดบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศ (Calling Card) ในปัจจุบันจะไม่สูงมากนัก โดยมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งถ้าเทียบกับมูลค่ารวมของตลาดโทรศัพท์ระหว่างประเทศทั้งหมดซึ่งอยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศนั้นเป็นส่วนตลาดที่ไม่ใหญ่มากนัก เมื่อเทียบกับตลาดรวม
แต่ถึงกระนั้น บัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศก็เป็นตลาดที่มีผู้ประกอบการจำนวนมากเข้ามาทำตลาด โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการในธุรกิจดังกล่าวเกือบ 30 ราย โดยมีรายใหญ่ในตลาดอย่าง”ทีโอที- กสท – ทรู” ทว่าน้องใหม่ทั้งหลาย ก็สามารถทำตลาดแข่งได้ด้วยฟีเจอร์ใช้งานที่ดดนใจ และราคาที่ถูกกว่า
น้องใหม่ ‘เซย์ไฮ’ ชูจุดต่างด้วยราคา-ฟีเจอร์
เหตุผลที่ทำให้ตลาดบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศมีผู้ประกอบการสนใจเข้ามาทำตลาดกันจำนวนมาก ว่ากันว่าเพราะบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศเป็นธุรกิจที่ทำได้ง่าย แถมใช้งบประมาณในการลงทุนไม่สูงมาก และไม่เท่านั้นยังมีหลายรายที่รุกเข้ามาทำตลาด Calling Card เพื่อต่อยอดการให้บริการเดิมที่มีอยู่ให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ายิ่งขึ้นด้วย
ดังเช่น บริษัทมิลคอม เทเลคอม จำกัด ซึ่งคลุกคลีในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมานานกว่า 10 ปี กับการให้บริการติดตั้งเสาโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต
และล่าสุดกับบริการใหม่บัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศในชื่อ เซย์ไฮ (ZayHi) โดยเรื่องนี้นายพาอนันต์ อุรุนานนท์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัทมิลคอม เทเลคอม จำกัด เล่าให้ฟังว่า เป็นเพราะบริษัทอยู่ในธุรกิจโทรคมนาคมมานานพอสมควร บวกกับมองว่าเสมือนเป็นการเพิ่มมูลค่าการให้บริการกับลูกค้าเดิม เพราะอินฟราสตรัคเจอร์มีพร้อมอยู่แล้ว
นั่นคือ แบ็กโบนก็อยู่บนพื้นฐานของไอพี ฐานอินเทอร์เน็ตก็มีอยู่แล้ว ลงแค่แอพพลิเคชันและเซิร์ฟเวอร์ไม่กี่ตัวก็สามารถให้บริการได้ จึงสนใจเข้ามาทำตลาด ถึงแม้ตลาดจะมีการแข่งขันสูงจากจำนวนผู้ประกอบการที่มีอยู่ในตลาดจำนวนมากโดยมีอยู่เกือบ 30 ราย แต่ทว่าที่มีการแอคทีฟจริงก็ประมาณ 5 ราย
เขาบอกด้วยว่า แม้บริษัทจะเป็นผู้เล่นรายเล็กที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดเมื่อกันยายนปีที่ผ่านมา แต่เซย์ไฮก็มีจุดเด่นที่แตกต่างจากบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศทั่วไป โดยสามารถโทรได้มากประเทศ พร้อมมีฟีเจอร์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น ในการลงทะเบียนเลขหมายโทรออกทำให้ไม่ต้องกดรหัสบัตรทุกครั้งที่ใช้ และบันทึกเลขหมายปลายทางไว้กับระบบได้ถึง 3 เลขหมาย และยังสามารถเติมเงินเข้ากับบัตรโดยไม่ต้องเปลี่ยนรหัสบัตร
นายพาอนันต์ บอกด้วยว่า จากจุดเด่นของบัตรที่แตกต่าง บวกกับเริ่มต้นทำตลาดด้วยราคาต่ำสุดที่ 1 บาท/นาที ใน 7 ประเทศหลัก และเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะในกลุ่มต่างชาติ ผ่านกลยุทธ์การบอกต่อ และแจกโบว์ชัวร์ตรงถึงกลุ่มลูกค้า ทำให้บัตรเซย์ไฮได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี
“ส่วนใหญ่ผู้ให้บริการแรกเริ่มจะเน้นใช้ราคาเป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดกลุ่มลูกค้า ซึ่งลูกค้าก็จะเข้ามาทดลองใช้ในเบื้องต้น แต่จากนั้นก็จะกลับมาใช้บัตรที่มีคุณภาพแต่ราคาแพงกว่านิดนึง”
จากการตอบรับของตลาดที่ดีเช่นนี้ นายพาอนันต์บอกว่า ทำให้ปีนี้บริษัทมีแผนที่จะรุกตลาดแมสมากขึ้น โดยขยายไปยังกลุ่มเป้าหมายคนไทยที่ต้องโทรออกไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งการขยายฐานเพิ่มขึ้นทำให้แนวทางการทำตลาดต่างไปจากเดิมด้วย โดยในปีนี้จะเน้นจัดกิจกรรม ออกบูธทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด พร้อมทั้งลงโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ไทยมากขึ้น
เขายอมรับว่า การแข่งขันของตลาดบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศจะอยู่ที่ราคาเป็นหลัก แต่เขาเชื่อว่าแนวโน้มราคาไม่น่าจะต่ำลงไปกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกันราคาก็จะปรับขึ้นกว่านี้เพราะคงทำตลาดได้ยากเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนเทคโนโลยีนับวันจะต่ำลงเรื่อยๆ กอปรกับการโทรศัพท์ระหว่างประเทศมีหลายรูปแบบและราคาประหยัด เช่น Net Phone เป็นต้น
อย่างไรก็ดี แม้ Calling Card จะมีคู่แข่งในตลาดจำนวนมาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็เชื่อว่าอนาคตตลาด Calling Card จะไม่ตายอย่างแน่นอน เพียงแต่จะเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการออกไปจากเดิม เช่นอาจจะไม่ต้องใช้บัตร แต่ใช้เป้นเทคโนโนโลยไอพีแทนที่ เป็นต้น
ผู้บริหารเซย์ไฮบอกว่า จากแนวทางการขยายฐานสู่แมสมากขึ้น บวกกับการปรับแนวทางการทำตลาด จะส่งผลให้บริษัทมีรายได้ในปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งตลาดบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศ 15%
ค่ายสามารถสร้างจุดต่าง “เพิ่มบริการเสริม และจุดจำหน่าย”
เช่นเดียวกับค่าย สามารถ หนึ่งในผู้ให้บริการบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ที่วางเป้าหมายรายได้ของบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศในปีนี้ไว้ที่ 100 ล้านบาทเช่นกัน โดยนายประสิทธิ์ชัย วีระยุทธวิไล รองประธานกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทสามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) บอกว่า แม้ปัจจุบันตลาดบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศจะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับตลาดรวมโทรต่างประเทศ เนื่องมาจากฐานผู้ใช้ของตลาดส่วนมากซึ่งเป็นนักธุรกิจจะนิยมใช้ผ่านรหัส 001 แต่เชื่อว่าแนวโน้มตลาดบัตรโทรระหว่างประเทศจะเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยปัจจัยด้านคุณภาพที่ดีขึ้น และราคาลดลง
“ตลาด Calling Card อยู่ในช่วงเริ่มต้น และกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ไม่มีผู้เล่นอยู่ในตลาดเลย ตอนนี้ก็มีผู้เล่นเข้ามาเข้ามาอยู่ในตลาดเกือบ 10 ราย แต่ที่มีการทำตลาดจริงมีประมาณ 3-4 ราย โดยรายหลักเป็นกสท. แต่อนาคตเชื่อว่ารายใหม่จะแซงหน้า เนื่องจากบริการต่างๆ ที่เข้าไป”นายประสิทธิ์ชัย บอกถึงภาพรวมตลาด Calling Card
และยอมรับด้วยว่า จุดแข่งขันของตลาดโทรศัพท์ระหว่างประเทศอยู่ที่ราคา ซึ่งจะต้องถูกกว่าโอเปอเรเตอร์ที่มีให้บริการอยู่ในตลาด ซึ่งปัจจุบันอัตราค่าใช้บริการต่ำสุดของสามารถก็อยู่ในอัตรานาทีละ 1 บาทเช่นกัน นอกจากการตลาดด้วยราคาถูกแล้ว เขาย้ำด้วยว่า กลยุทธ์ที่จะใช้ทำตลาดบัตรโทรศัพท์ของสามารถเพื่อให้ได้เป้าหมายรายได้ตามที่วางไว้ก็คือ คุณภาพ ฟีเจอร์ที่แตกต่าง รวมถึงบริการเสริม และจุดจำหน่ายบัตรที่สะดวกและครอบคลุม ซึ่งปัจจุบันบัตรโทรศัพท์ของสามารถวางจำหน่ายที่สาขาไปรษณีย์ทั่วประเทศและเอ็มเปย์ พร้อมกันนี้มีแผนที่จะขยายการให้บริการเสริมด้วยการพ่วงคอนเทนท์ให้กับลูกค้าด้วย โดยบัตรบัตรเดียวสามารถโทรหา Bug ได้ คาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในไตรมาส 4 เพื่อเป็นการเพิ่มแวลูให้กับบัตรมากขึ้นปีนี้
ลีลาเจ้าตลาดบัตร “ลดราคา ควบสร้างแบรนด์”
ในส่วนของบริษัทกสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT TELECOM ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ได้ออกบริการบัตรด้วยกัน 2 รูปแบบซึ่งมีจุดเด่นต่างกัน คือ CAT ThaiCard กับ CAT PhoneNet ซึ่งในตัว CAT PhoneNet นั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการโทรไปต่างประเทศในราคาประหยัด ขณะที่ CAT ThaiCard เหมาะสำหรับนำไปใช้งานยังต่างประเทศเพื่อโทรกลับไทย โดยปีนี้ทางกสท.จะเน้นรุกตลาด CAT PhoneNet เพื่อที่จะให้สามารถเข้าไปแข่งขันกับผู้ให้บริการรายใหม่ๆ ได้
ด้านอัตราค่าบริการนั้น ทางกสท.มีการปรับราคาของบัตรลงมารับกับการแข่งขันของตลาดที่กำลังดุเดือดจากผู้เล่นจำนวนมากเช่นกัน โดยได้ปรับลดราคาลงมาต่ำสุดที่ 2 บาท/นาที รวมถึงสร้างการรับรู้ถึงจุดเด่นของบัตรให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ขณะที่บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน)ก็มีบริการ TOT netcall โทรได้ทั่วไทยทั่วโลก การใช้บริการมีทั้งแบบโพสเพด และพรีเพด โดยเฉพาะแบบเติมเงิน ผู้ใช้บริการเติมผ่านบริการ TOT Prepaid ได้ 2 ช่องทาง 1.ซื้อบัตร ทีโอทีโพสเพด ราคา 50 บาท, 100 บาท, 300 บาท ได้ที่ศูนย์บริการ ทีโอที ทั่วประเทศ และเซเว่น อีเลเวน และแฟมิลี่มาร์ท 2.ซื้อ eCode โดยชำระเงินผ่านบัตรเครดิต Visa หรือ Master
Source: Business Thai