หลังเป็นที่พูดถึง และถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน เกี่ยวกับพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับเดิมถูกบังคับใช้มานาน และบางข้อไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับฉบับที่ … พ.ศ. … ที่ทางคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว จำนวน 38 มาตรา ในวาระ 2 และวาระ 3 ด้วยคะแนนเสียง 365 ต่อ 0 เสียง การแก้ไขครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน และลดข้อจำกัดที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป
รายละเอียดสำคัญของการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้
1. การปรับปรุงมาตรา 32 เกี่ยวกับการโฆษณา
ข้อห้ามเดิม: มาตรา 32 ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม
การแก้ไข: การแก้ไขมาตรา 32 ในครั้งนี้ อนุญาตให้ผู้ประกอบการสามารถประชาสัมพันธ์ชื่อและรายละเอียดสินค้าได้มากขึ้น แต่ต้องไม่เป็นการเชิญชวนให้ดื่มหรืออวดอ้างสรรพคุณ การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใดๆ
โดยผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท สามารถกระทำได้เฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสาร และความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยไม่ปรากฏภาพของสินค้า หรือบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เว้นแต่เป็นการปรากฏของภาพสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสัญลักษณ์ของบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเท่านั้น ทั้งนี้ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. การมีส่วนร่วมของประชาชน
ข้อห้ามเดิม: กฎหมายเดิมมีความเข้มงวดในการควบคุมการแสดงผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่มีเจตนาเพื่อการค้า อาจถูกดำเนินคดีจากการเผยแพร่ภาพที่มีเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การแก้ไข: การแก้ไขครั้งนี้ เปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถแสดงผลิตภัณฑ์ได้ หากไม่มีเจตนาเพื่อการค้า ชวนให้ดื่ม หรืออวดอ้างสรรพคุณ ช่วยลดปัญหาการถูกดำเนินคดีจากการเผยแพร่ภาพที่มีเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
3. การควบคุมการขายที่ยืดหยุ่นขึ้น
ข้อห้ามเดิม: กำหนดเวลาและสถานที่ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเข้มงวด ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและการดำเนินธุรกิจ
การแก้ไข: การยกเลิกคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเวลา และสถานที่ห้ามขาย ทั้งจากคสช. และคณะปฏิวัติ เพื่อคืนอำนาจให้ฝ่ายบริหารในการกำหนดมาตรการที่เหมาะสม และเพิ่มการกำกับดูแลการขายให้เยาวชนและผู้ที่มีอาการมึนเมา
4. การบำบัดฟื้นฟูที่ครอบคลุมมากขึ้น
ข้อห้ามเดิม: การบำบัดฟื้นฟูจำกัดเฉพาะผู้ติดแอลกอฮอล์เท่านั้น
การแก้ไข: ขยายกรอบผู้ที่สามารถได้รับการบำบัดฟื้นฟู จากเพียงผู้ติดแอลกอฮอล์ เป็นผู้มีปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และให้อำนาจหน่วยงานในการขอการสนับสนุนงบประมาณหรือความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่น
5. บทกำหนดโทษที่ปรับปรุงใหม่
ข้อห้ามเดิม: บทกำหนดโทษมีความเข้มงวดและไม่ยืดหยุ่น ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปที่อาจไม่ทราบข้อกฎหมาย
การแก้ไข: เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการเลือกใช้มาตรการตักเตือนแทนการบังคับใช้บทลงโทษทางอาญาหรือทางปกครองได้ เพิ่มมาตรการปรับเป็นพินัยในกรณีความผิดที่ไม่รุนแรง แยกโทษการโฆษณาของประชาชนทั่วไปที่ไม่เท่าทันกฎหมายออกจากโทษของผู้ประกอบการ โดยให้มีเพดานโทษที่น้อยกว่า เพิ่มโทษในกรณีการขายสุราให้เยาวชน และเพิ่มอำนาจในการสั่งปิด ระงับใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาตในกรณีที่กระทำผิดต่อเนื่องหรือร้ายแรง
การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ คาดว่าจะส่งเสริมธุรกิจแอลกอฮอล์และการท่องเที่ยวของไทยให้เติบโตขึ้น ทั้งนี้ยังต้องรอให้รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการควบคุมออกกฎหมายลูกเพื่อให้มีผลบังคับใช้จริงต่อไป
จุดสมดุลท่ามกลางข้อเสนอของหลายฝ่าย
ด้านนาย ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย เผยผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า “กฎหมายฉบับนี้ เป็น 1 ในกฎหมายที่ใช้เวลาหาข้อสรุปกันค่อนข้างนาน เนื่องจากมีการเสนอเข้ามาและรับหลักการในวาระ 1 ร่วมกันมากถึง 5 ฉบับ”
- ฉบับ ครม. โดย ก.สาธารณสุข
- ฉบับ พรรคเพื่อไทย โดยตัวคุณชนินทร์เอง
- ฉบับ พรรคก้าวไกล โดย สส.เท่าพิภพ เป็นผู้เสนอ
- ฉบับที่เสนอโดยเครือข่ายผู้สนับสนุนการควบคุมการเข้าถึงแอลกอฮอล์ที่เคร่งครัดขึ้น
- ฉบับที่เสนอโดยเครือข่ายผู้สนับสนุนการผ่อนคลายเพื่อส่งเสริมธุรกิจแอลกอฮอล์
พร้อมขอบคุณกรรมาธิการ และเพื่อนสมาชิกในสภาผู้แทนราษฎร ที่ร่วมกันพิจารณาตลอด 3 ครั้งที่ผ่านมา
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลต่อภาคธุรกิจ แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามในการหาจุดสมดุลระหว่างการควบคุมและการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย แม้การปลดล็อกข้อจำกัดด้านการโฆษณาจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายตลาดและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน แต่กฎระเบียบที่กำลังจะตามมาในรูปของกฎหมายลูกจะเป็นตัวกำหนดทิศทางที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งเสริมอุตสาหกรรมโดยไม่กระทบต่อสังคมอย่างไร
ท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จของการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้จะขึ้นอยู่กับการบังคับใช้ที่เหมาะสม ซึ่งต้องรักษาสมดุลระหว่างโอกาสทางธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสังคมให้เดินไปด้วยกันได้อย่างยั่งยืน