ทำงานสัปดาห์ละ 4 วันดีไหม? เปิดผลทดลองครั้งใหญ่ที่สุดในอังกฤษ พบเป็นผลดีต่อทั้งลูกจ้างและนายจ้าง

  • 342
  •  
  •  
  •  
  •  

เทรนด์ในการทำงานกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆวัน โดยเฉพาะหลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 การทำงานที่ “ยืดหยุ่น” และให้ความสำคัญในเรื่อง work-life balance กลับมามีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆสำหรับองค์กรเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูงมากยิ่งขึ้นในเวลานี้

อย่างเช่นที่หลายๆบริษัทนำรูปแบบการทำงาน ที่ยืดหยุ่นมาใช้เป็นการถาวรที่นอกจากจะเพิ่มโอกาสดึงดูด Talent ให้เข้ามาร่วมงานได้มากขึ้นแล้ว ยังพบว่ามันเพิ่ม productivity ได้และยังมีผลดีหลายๆอย่างกับทั้งตัวลูกจ้างและนายจ้างเองด้วย

ล่าสุด “การลดวันทำงานลงจาก 5 วันต่อสัปดาห์เหลือ 4 วันต่อสัปดาห์” ก็กำลังกลายเป็นอีกหนึ่ง “อาวุธ” ในการแข่งขันในตลาดแรงงานที่เข้มข้น กลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่เริ่มเป็นที่พูดถึงและเริ่มมีการทดลองกันบ้างแล้วในหลายๆพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งล่าสุดก็มีการเปิดเผยการทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ที่มีกลุ่มตัวอย่างมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศอังกฤษ และก็พบว่าบริษัทส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการทดลองพบข้อดีมากมายและไม่กลับมาทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์อีกเลย

การทดลองศึกษาครั้งนี้จัดทำขึ้นโดย 4-Day Week Global กลุ่มเคลื่อนไหวไม่แสวงผลกำไรที่มีสำนักงานในประเทศนิวซีแลนด์ มีกลุ่มตัวอย่างมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีองค์กรเข้าร่วมมากถึง 61 องค์กร และมีลูกจ้างเข้าร่วมการทดลองจำนวนมากถึง 2,900 คน โดยกลุ่มตัวอย่างนี้สมัครใจทำงานแบบ 4 วันต่อสัปดาห์นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงเดือนธันวาคม 2022

ผลการทดลองพบว่ามีเพียง 3 องค์กรเท่านั้นที่ขอหยุดทำการทดลอง อีก 2 องค์กรนั้นยังคงพิจารณาที่จะลดชั่วโมงการทำงานลง ขณะที่เหลือเลือกที่จะให้มีการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ต่อไป เนื่องจากพบว่าบริษัทสามารถสร้่างรายได้เพิ่มขึ้น จำนวนพนักงานลาออกน้อยลง ขณะที่พนักงานมีภาวะ Burnout ความเครียด และปัญหาในการนอนหลับลดน้อยลง

ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการนำระบบทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มาใช้นั้นสามารถลดปัญหา Burnout ปัญหาความเครียด และปัญหานอนไม่หลับได้

ข้อมูลจากการทดลองในอังกฤษเป็นการยืนยันผลการทดลองในกลุ่มตัวอย่างที่เล็กกว่าก่อนหน้านี้ที่สหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ และออสเตรเลีย โดยครั้งนั้นมีการเปิดเผยข้อมูลออกมาเมื่อเดือนธันวาคม ซึ่งก็พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของรายได้และ Productivity ของลูกจ้างที่เท่าๆกันกับการทดลองในอังกฤษ โดยรายงานระบุว่ากลุ่มตัวองค์กรที่ร่วมการทดลองน้อยกว่าอังกฤษครึ่งหนึ่ง ขณะที่จำนวนลูกจ้างที่เข้าร่วมทดลองมีเพียง 1 ใน 3 ของอังกฤษเท่านั้น

จ้างให้ก็ไม่กลับไปทำงาน 5 วัน

ผลการทดลองยังพบด้วยว่าบรรดาลูกจ้างที่ได้ร่วมในการทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์นั้นชื่นชอบกับประสบการณ์ที่ได้รับ และรายงานว่าชีวิตดีขึ้นไม่ว่าจะเป็น “ความเครียดลดลง” “ความเหนื่อยล้าลดลง” “สุขภาพดีขึ้น” และ “ชีวิตส่วนตัวดีขึ้น” ผู้ชายมีเวลาดูแลลูกมากขึ้นกว่าสองเท่า และในบรรดาลูกจ้างที่เข้าร่วมการทดลองไม่มีใครที่ต้องการกลับไปทำงานแบบ 5 วันต่อสัปดาห์อีก และในจำนวนนี้มีมากถึง 15% ที่มองว่า “ถึงเพิ่มเงินให้เท่าไหร่ก็จะไม่กลับไปทำงานแบบ 5 วันต่อสัปดาห์อีก” 

แม้บริษัทส่วนใหญ่นำนโยบายทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ไปใช้แต่ก็ยังมีบริษัทบางส่วนที่เลือกที่ทำงาน 5 วันแต่ลดเวลาทำงานในแต่ละวันลง ขณะที่ธุรกิจที่ทำงานตามฤดูกาลอย่างร้านอาหารก็นำเอาโมเดลการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ไปใช้แต่จะมีการชดเชยชั่วโมงทำงานที่นานกว่าปกติในฤดูร้อนด้วยชั่วโมงทำงานที่น้อยลงในฤดูหนาวเป็นต้น

นายจ้างก็ได้ประโยชน์

นอกจากนี้ผลการศึกษายังพบด้วยว่าองค์กรที่เข้าร่วมทดลองมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น 35% จากปีก่อนหน้า และปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.4% ระหว่างการทดลอง ขณะที่บรรดาองค์กรต่างๆให้คะแนนในเรื่องผลกระทบจากการทำงาน 4 วันเป็นบวกโดยให้คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 7.5 เต็ม 10 อัตราการขาดงานก็ลดลงจาก 2 วันต่อเดือนเหลือ 0.7 วันต่อเดือน อัตรา turnover ก็ลดลงมากกว่าครึ่ง ขณะที่คะแนนประสบการณ์โดยรวมขององค์กรที่เข้าร่วมให้คะแนนอยู่ที่ 8.3 เต็ม 10

องค์กรด้านให้คำปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง Tyler Grange ที่นำนโยบายทำงาน 4 วันไปใช้แบบถาวรกับพนักงานในองค์กรทั้งหมด 100 คน ระบุว่า การทำงานด้วยจำนวนวันที่น้อยลงนั้นช่วยเพิ่ม Productivity มากกว่า 1 ใน 5 และลดอัตราการลาป่วยรวมลงได้ถึง 18 วันต่อเดือน ขณะที่บรรดาลูกจ้างระบุว่าการมีวันทำงานลดลงนั้นช่วยตัดค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทางและการดูแลลูกลงได้

นอกจากนี้ยังพบประโยชน์ในเรื่องของการดึงดูดการจ้างงานและการ retention พนักงานเดิมด้วย โดย Tyler Grange ยังพบด้วยว่าจำนวน CV ที่ส่งมาสมัครงานกับบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่านับตั้งแต่บริษัทเข้าร่วมการทดลองลดวันทำงานเหลือ 4 วันต่อสัปดาห์ แม้ว่าจะมีตำแหน่งว่างไม่มากนักก็ตาม

มีจุดอ่อนอยู่บ้าง

แม้การศึกษาในครั้งนี้จะออกแบบมาเป็นอย่างดีและมีองค์กรต่างๆที่กระจายไปในทุกๆอุตสาหกรรม แต่ก็ยังคงมีจุดอ่อนอยู่บ้างในเรื่องของขนาดองค์กรที่มีขนาดเล็ก ขณะที่การทดลองไม่ได้เป็นการสุ่มแต่เป็นองค์กรที่สมัครใจที่จะเข้ารวมการทดลองทั้งหมด และแต่ละองค์กรมีการลงทุนในเรื่องของการฝึกอบรมและการวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมาก ซึ่งหมายถึงบรรดาผู้นำองค์กรเหล่านี้มีแนวความคิดที่เอนเอียงให้กับแนวคิดการลดเวลาการทำงานอยู่แล้ว

นอกจากนี้หลักฐานการสำรวจจาก Chartered Institute of Personnel and Development (CIPD) องค์กรรวมกลุ่มด้านการบริหารงานบุคคลของอังกฤษ ในช่วงที่ผ่านมา พบว่าบรรดาในจ้างส่วนใหญ่ในอังกฤษต้องการที่จะเพิ่มชั่วโมงการทำงานให้มากขึ้น เนื่องจากมองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะเพิ่มรายได้ให้สูงขึ้นในช่วงเวลาวิกฤตค่าครองชีพพุ่งสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเสี่ยงที่พบว่าการลดชั่วโมงการทำงานลง 20% นั้นจำเป็นต้องเพิ่ม Productivity ขึ้น 25% เพื่อให้ผลผลิตหรืองานที่ออกมานั้นนั้นยังคงที่อยู่ได้

นั่นก็เป็นความเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมการทำงานที่ยังคงเปลี่ยนไแปลงไปตลอดเวลาให้สอดคล้องกับสถานการณ์และยุคสมัย และการนำไปใช้ก็เป็นหน้าที่ของบรรดาผู้นำองค์กรที่จะต้องเลือกอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรและตัวพนักงานที่เป็นผู้ขับเคลื่อนองค์กรให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

ที่มา Bloomberg, CIPD


  • 342
  •  
  •  
  •  
  •