ย้อนกลับไป 31 ปีก่อน ช่วงปี 1993 ในยุคที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ตลาดเกมคอมพิวเตอร์เริ่มขยายตัว และเติบโตขึ้นตาม NVIDIA จึงถือกำเนิดโดยกลุ่มวิศกรทั้ง 3 คน เจนเซ่น หวง, เคอร์ติส พรีม และคริส มาลาโชวสกี้ ผู้ใฝ่ฝันจะสร้างเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนประสบการณ์ด้านกราฟิกให้สมจริง และมีรายละเอียดมากขึ้น จึงเริ่มมุ่งมั่นออกแบบชิปประมวลผลด้านกราฟิก (GPU) อย่างจริงจัง โดยเน้นไปที่กราฟิกเกมเป็นส่วนใหญ่
สงครามการ์ดจอ กับคู่แข่งตลอดกาลอย่าง AMD
หลังการเปิดตัวได้เพียง 2 ปี NVIDIA กลายเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมกราฟิกการ์ดอย่างรวดเร็ว ด้วย ‘NV1’ ซึ่งนับเป็นผลิตภัณฑ์แรกจากทาง NVIDIA ที่เราจะเห็นในคอนโซลเกมยุคนั้นอย่าง ‘Sega Saturn’ และต่อมาในปี 1999 ได้เปิดตัวไลน์การ์ดจอ ‘GeForce’ ที่เราคุ้นหูกันเป็นครั้งแรก ในชื่อ ‘GeForce 256’ ที่ช่วยในการประมวลผลด้าน 3D ที่ซับซ้อน ทั้งยังมีความสามารถในการแบ่งแยกแสงและเงา ทำให้ภาพที่ได้มีความสมจริงมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ฝั่ง AMD ที่เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งในตลาดการ์ดจอตลอดกาลของ NVIDIA ก็ได้ก่อตั้งขึ้น โดยการเข้าซื้อ ATI Technologies ในปี 2006 และเปิดตัวการ์ดจอตระกูล ‘Radeon’ ก่อนจะอัปเกรดขึ้นเป็นตระกูล ‘RX Series’ ซึ่งเป็นเรือธงจากฝั่ง AMD จนถึงตอนนี้ ซึ่งความสามารถไม่ได้น้อยหน้าฝั่ง NVIDIA จนกลายเป็นสงครามการ์ดจอระหว่างทั้งสองค่ายที่แข่งกันออกเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาให้ฝั่งผู้บริโภคได้ว้าวกันอยู่เสมอ
ส่วน NVIDIA เองก็มีการอัปเกรดการ์ดจอตระกูลเรือธงของตัวเองเช่นกัน ในตระกูล ‘RTX Series’ ซึ่งนับว่าเป็นการ์ดจอเจ้าแรกของโลกที่สามารถประมวลผล ‘Ray Tracing’ ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะทำให้แสง และในเงาในภาพกราฟิกดูสมจริงมากขึ้นราวกับเป็นของจริงเลยทีเดียว
โดยเรือธงตัวล่าสุดจาก NVIDIA อย่าง GeForce RTX 40 Series GPU จะใช้สถาปัตยกรรม ‘Ada Lovelace’ ที่ไม่เพียงสนับสนุนด้านกราฟิก หรือการเล่นเกมเท่านั้น แต่ยังรองรับการประมวลผลด้าน AI โดยเฉพาะด้วย
– ทำงานร่วมกับ AI ได้ดีขึ้น 30 เท่า
– เพิ่ม FPS ของเกมมากขึ้น 8 เท่า
– สร้างสรรค์งานด้านภาพเร็วขึ้น 13 เท่า
เหตุการณ์ ‘เหมืองคริปโตแตก’ เกือบพา NVIDIA เผชิญหน้ากับ ‘ยุคมืด’
หากใครยังจำกันได้ ในช่วงที่ Cryptocurrency กำลังบูม การ์ดจอได้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการ ‘ขุดเหมือง’ (Cryptocurrency Mining) จนเราจะเห็นได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่ราคาการ์ดจอพุ่งสูงเกินราคาจริงไปมาก เพราะมีความต้องการสูง แต่ผลิตไม่ทัน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ ‘เหมืองแตก’ ที่ส่งผลให้อุปสงค์ของการ์ดจอก็ตกลง
NVIDIA ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้อย่างมาก โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2022 NVIDIA รายงานว่ายอดขายการ์ดจอสำหรับเกมลดลงถึง 44% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในด้านของราคาหุ้นเองก็ตกลงอย่างหนักเช่นกัน
เปลี่ยนมือสู่ AI จุดพลิกผันที่ดัน NVIDIA สู่ ‘บริษัทที่มูลค่าสูงที่สุดในโลก’
“อนาคตของการประมวลผลผ่านคอมพิวเตอร์กำลังเร็วขึ้นอย่างก้าวกระโดด ด้วยนวัตกรรมของ NVIDIA ทั้งในด้าน AI และตัวเร่งการประมวลผล เราได้ทลายขีดจำกัดเดิมๆ เพื่อขับเคลื่อนคลื่นลูกใหม่แห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลกเรา” – Jensen Huang กล่าวในงาน Computex 2024
การตัดสินใจเรื่อง Movement สู่ AI นี้ไม่ได้เพิ่งมาทำเอาตอนหลัง หรือเพื่อแก้เกมตลาดการ์ดจอ แต่ทาง NVIDIA ได้เริ่มต้นพัฒนา AI Platform มาตั้งแต่ปี 2006 แล้ว ในชื่อ CUDA ซึ่งต่อมาอัปเกรดเป็น CUDA-X ที่ช่วยในการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI เช่น การประมวลผลข้อมูล วิศวกรรมฟีเจอร์ การเรียนรู้ของเครื่อง การตรวจสอบ และการปรับใช้ ซึ่งแต่ละขั้นตอนเกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลปริมาณมากและการดำเนินการประมวลผลขนาดใหญ่
สำหรับด้านของ Hardware เอง เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในงาน NVIDIA GTC 2024 คุณ Jensen Huang ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประกาศเปิดตัว ‘Blackwell’ ชิปสำหรับประมวลผล และฝึก AI โดยเฉพาะตัวใหม่ ต่อยอดจาก ‘Hopper H100’ ตัวเดิม โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่า แต่กินพลังงานน้อยกว่า ซึ่งจะทำให้เราเห็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในโมเดล AI ต่างๆ ไปจนถึง Generative AI ด้วย
ในอดีตหากจะเทรนโมเดลภาษา 1.8 ล้านล้านพารามิเตอร์ จะต้องใช้ ‘ชิป Hopper H100’ ถึง 8,000 ตัว และใช้ไฟฟ้ากว่า 15 เมกะวัตต์ แต่ด้วยชิปตัวใหม่อย่าง ‘Blackwell B200’ ทาง NVIDIA เคลมว่า ด้วยปริมาณชิปที่น้อยกว่าถึง 1 ใน 4 จะสามารถประมวลผลข้อมูลระดับเดียวกันได้โดยกินไฟเพียง 4 เมกะวัตต์เท่านั้น
ปัจจุบันทาง NVIDIA ได้ครองตลาดชิปประมวลผล AI ด้วยสัดส่วนกว่า 80% โดยมีลูกค้าหลักเป็น
– OpenAI: ใช้ชิปประมวลผลจาก NVIDIA กว่า 10,000 ตัวเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI ทั้งยังเริ่มสำรวจตลาดเพื่อพัฒนาชิป AI ของตัวเองโดยมี NVIDIA เป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์รายใหญ่
– Microsoft: แตกไลน์ ‘PC Copilot+’ ที่ใช้ชิปประมวลผลจาก NVIDIA
นอกจากนี้ยังมี Alphabet, Amazon และ Meta ที่ต่างเร่งแย่งชิงโปรเซสเซอร์ของ NVIDIA เพื่อใช้พัฒนาโมเดล AI และรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยในไตรมาสที่ผ่านมา รายได้ในธุรกิจด้านข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ NVIDIA เติบโตขึ้นกว่า 427% จากปีก่อนหน้าเป็น 22.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 86% จากยอดขายรวมของผู้ผลิตชิปทั้งหมด และล่าสุดได้พุ่งทะยานขึ้นไปเป็น ‘บริษัทที่มูลค่าสูงที่สุดในโลก’ (3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) ด้วยราคาต่อหุ้น ณ จุดสูงสุดที่ 135.58 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4,977.35 บาท
สำหรับข่าวเรื่องพุ่งทะยานของ NVIDIA ก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ลิงก์นี้เลย ทาง MarketingOops! ได้รวบรวม และสรุปให้เรียบร้อยแล้ว: https://www.marketingoops.com/news/nvidia-most-valuable-company/
ทำให้เห็นว่า การหันเข็มทิศสู่ตลาด AI อย่างเต็มตัว แทนที่จะเป็นการฟื้นฟูในฐานะผู้ผลิตการ์ดจอเกมอย่างที่เคยเป็น นับเป็น Movement ที่พา NVIDIA มาถึงจุดนี้ได้ ทั้งยังเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด AI ให้ก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ NVIDIA จะเป็นเบอร์หนึ่งในด้านนี้ และยากที่จะมีใครมาแทนที่ หรือตามทันได้
Sources: NVIDIA, CNBC, NVIDIA, NVIDIA