เมื่อ Clubhouse ถูกตั้งคำถามถึงการควบคุมดูแลเนื้อหาที่ไม่ควร จนต้องเตรียมระบบตรวจสอบครั้งใหญ่

การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Clubhouse ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของเครือข่ายโซเชียล ที่เป็นลักษณะการ LIVE โดยใช้เสียงเปรียบเทียบเหมือนการจัดรายการสดทางวิทยุ ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้ Clubhouse เติบโตอย่างรวดเร็วเกิดจากการที่คนดังด้านเทคโนโลยีอย่าง Elon Musk และ Mark Zuckerberg จะเริ่มมีการสงสัยและเรียกร้องให้ตรวจสอบเนื้อหา ทั้งการพูดจาในลักษณะแสดงความเกลียดชัง ไปจนถึงการคุกคามและการนำเสนอข้อมูลที่ผิด

ทว่าเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจจับเนื้อหาด้วยเสียงมีความล้าหลังมาก และไม่ใช่ทุกช่องทางโซเชียลมีเดียที่จะดำเนินการเก็บบันทึกเสียงเพื่อตรวจสอบการละเมิดกฎหมาย ในขณะที่ Twitter Spaces ที่มีการไลฟ์เฉพาะเสียงเช่นกันจะเก็บเสียงไว้เป็นเวลา 30 วันหรือนานกว่านั้นหากมีเหตุจำเป็น ส่วน Clubhouse จะลบการบันทึกหากเซสชันนั้นสิ้นสุดลง

โดยผู้ใช้งาน Clubhouse จะได้รับการแนะนำการควบคุมผู้เข้าร่วมเพื่อทำการตรวจสอบ โดยสามารถบล็อกผู้ใช้สามารถป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ที่น่าสงสัยเข้าร่วมห้องเพื่อก่อกวน สำหรับความท้าทายในการกลั่นกรองเสียงสดนั้น ขึ้นอยู่กับการกลั่นกรองเนื้อหาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียขนาดใหญ่ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์และสามารถเข้าถึงผู้คนส่วนใหญ่ได้ง่าย

แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างพยายามควบคุมเนื้อหาการ LIVE ที่อันตรายหรือภาพกราฟิกที่ไม่เหมาะสม ในปี 2020 วิดีโอถ่ายทอดสดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายบน Facebook แพร่กระจายไปตามเว็บต่างๆ โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา บริษัท Paul Davison ผู้ร่วมก่อตั้ง Clubhouse ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ถึงแอปฯ ที่เข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญจะมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตของผู้คน ทั้งการชุมนุมทางการเมืองไปจนถึงการประชุมของบริษัท

นับตั้งแต่เปิดใช้งาน Clubhouse แอปฯ ดังกล่าวต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์ หลังมีรายงานเกี่ยวกับผู้หญิงที่ต่อต้านชาวยิวและพารนำเสนอข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับ COVID-19 บนแพลตฟอร์ม แม้จะมีข้อกำหนดและขอห้ามในการแสดงความเกลียดชัง การละเมิดและข้อมูลเท็จ โดย Clubhouse กำลังลงทุนจัดหาเครื่องมือในการตรวจจับและป้องกันการละเมิด ตลอดจนการเพิ่มคุณสมบัติสำหรับผู้ใช้ให้สามารถกำหนดกฎสำหรับแต่ละห้องเพื่อดูแลการสนทนา

ขณะที่แพลตฟอร์ม LIVE เฉพาะเสียงอย่าง “Fireside” อธิบายว่าเป็นแพลตฟอร์มที่รับผิดชอบต่อสังคม มีการดูแลจัดการเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ต้องเผชิญ ด้าน Twitter Spaces ต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความสามารถในการควบคุมเนื้อหา โดย Twitter เตรียมลงทุนด้านการตรวจจับเชิงรุก ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ Twitter ใช้ในการตรวจหาทวีตที่มีปัญหา

Source: Reuters