ยุคดิจิทัลที่ผู้คนใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับโลกออนไลน์ ส่งผลให้ธุรกิจต่าง ๆ หันมาลงทุนด้านการตลาดดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ ‘โซเชียลมีเดีย’ เพื่อเป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าและสร้างยอดขาย ซึ่งหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน คือ ‘Facebook Reels’
Facebook Reels เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอสั้น ๆ ความยาวไม่เกิน 60 วินาที ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากมีรูปแบบที่สั้น กระชับ เข้าใจง่าย และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการทำการตลาดผ่าน Reels นั้น ไม่ได้หมายความว่าเป็นเพียงคลิปสั้น ๆ ก็จะสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้ แต่แบรนด์ก็จำเป็นต้องมีกลยุทธ์และเทคนิคที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน เพื่อให้วิดีโอ Reels มีประสิทธิภาพสูงสุดในการชนะใจผู้บริโภค
โดยในการสัมมนา Business Messaging Summit Thailand 2023 ในหัวข้อ Personalize at scale with Creatives กับคุณ Napapatch Kantasil – Creative Strategist, The Creative Shop, Thailand, Meta และ คุณOpal Paphawee – Business Strategy Manager Thailand, Meta จะมาบอกเล่าประสบการณ์การทำงานและสร้างสรรค์งานผลงานอย่างไรให้ตรงใจทุกกลุ่มเป้าหมายซึ่งเราขอสรุปเนื้อหาของสัมมนามาให้อ่านดังนี้
เผย trick สร้าง Customer Relationship ผ่าน Reels อย่างไรให้ตรงใจทุกกลุ่มเป้าหมาย
คุณ Opal ได้เปิดเผยข้อมูลมาว่าใน 1 วัน เราใช้เวลาไถ่หน้าฟีดเท่ากับความสูงของเทพีเสรีภาพ หรือประมาณ 100 เมตร และที่น่าเหลือเชื่อไปกว่านั้นผู้ใช้งานใช้เวลาดูคอนเทนต์บนเฟซบุ๊กเพียง 1.6 วินาที เท่านั้น
จากผลสำรวจของเมตตายังบอกอีกว่า การมีโฆษณาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง วีดีโอ ช่วยเพิ่มประสิธิภาพของแคมเปญได้ดียิ่งขึ้น และคุณภาพของครีเอทีฟเองก็ส่งผลต่อประสิทธิภาพของแคมเปญให้ดีขึ้นถึง 32% รวมถึงการเข้าถึงที่เพิ่มขึ้น 9% พอเราเจาะลึกลงไปพบว่าแคมเปญต่าง ๆ ที่ทำ performance เกี่ยวกับ Business Messaging ได้ดีนั้น มี 2 เทคนิคที่น่าสนใจ ได้แก่
1.Creative Foundation
สำหรับการทำธุรกิจ ‘การเพิ่มโอกาสคลิกแชต’ ถือเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับธุรกิจได้ทันที รวดเร็ว และง่ายกว่าการโทรอย่างมาก แถมช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้นโดยมี 3 เทคนิคหลัก ที่ทางเมตตาแนะนำ
-Show Visuals มีตัวไอคอนหรือแสดงตัวว่าเป็นแชตแอด เช่น Messaging Ul, Logos, Stickers and Emojis, Bespoke Vals เพื่อให้ผู้ใช้งานเห็นและสามารถเข้ามาคลิกดูข้อมูลต่าง ๆ ได้หรือทักแชตเข้ามาได้ซึ่งจะได้รับผลตอบรับที่ดีกว่าการไม่ใส่
-State Value สิ่งที่เราอยากจะส่งมอบให้ลูกค้า อย่างตรงไปตรงมา เช่น ลูกค้ามีปัญหาและแบรนด์สามารถเข้าไปจัดการกับปัญหานี้ได้ หรือการยกตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วแบรนด์มีการแก้ไขปัญหาอย่างไร เพื่อดึงความสนใจของผู้บริโภค และสุดท้ายคือการใส่แคมเปญ Sale ต่าง ๆ เพื่อที่ให้ลูกค้าเข้าใจง่ายอย่างตรงไปตรงมา
-Say Now คือการทักแชตได้ตลอดเวลา คืออย่างแรกที่แบรนด์ควรทำ คือเรื่องของแคปชัน 4 บรรทัดแรกสำคัญมาก และใส่หลายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบ เช่น ว่าลูกค้าทักแชตเขาจะได้คุยกับใคร เพื่อสร้างความสบายใจให้กับลูกค้า
เทคนิคที่ได้กล่าวไปข้างต้นจะช่วยให้ผู้ใช้งานกดทักแชตหาแบรนด์มากขึ้น การทำเช่นนี้ถือเป็นการเพิ่มประสิทธอภาพโฆษณา ทำให้มีความชัดเจน ตรงไปตรงมาและสร้าง Customer Relationship ให้กับลูกค้า รวมถึงช่วยลดโอกาสในการปิดโฆษณาจากเมตตาได้อีกด้วย
ต่อไปจะเป็นส่วนของคุณ Napapatch Kantasil ที่จะมาเล่าต่อเกี่ยวกับ เทคนิค Multiplier Concept คืออะไร แล้วช่วยแบรนด์ปิดการขายได้อย่างมาก มีอะไรน่าสนใจ Marketing Oops! สรุปไว้ดังนี้
คุณ Napapatch ได้เล่าให้ฟังว่า เมตตาได้ร่วมมือกับแบรนด์ต่าง ๆ และช่วยแบรนด์สามารถยกระดับการออกแบบโฆษณาที่สามารถคลิกไปยัง Messenger ด้วยถ้อยคำที่กระตุ้นให้เกิดความอยากซื้อหรือ ‘Conversational Copy Framework’ ซึ่งเป็นโฆษณาที่ใช้ข้อความกระตุ้นให้เกิดบทสนทนา
เมตตาต้องการให้ธุรกิจเชื่อมต่อกับผู้ซื้อโดยตอบโจทย์ความต้องการทุกระดับ ด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางทำให้การสนทนาประกอบกับมีข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น ทำให้เมตตาเข้าใจทั้งแบรนด์และลูกค้า โดยเมตตาได้แนะนำเทคนิค Conversational copy framework ที่น่าสนใจ ได้แก่
- สามารถเสนอ benefit (ผลประโยชน์) ให้กับลูกค้าได้
- สามารถให้คำตอบที่ลูกค้ายังไม่รู้หรือต้องการรู้ได้
- ทำให้ลูกค้าต่อยอดหรือเกิดปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของเรา
ดังนั้น การใส่ความคิดสร้างสรรค์บน Conversational Commerce ได้ ซึ่งก็คือ Conversational Copy Framework เป็นเสมือนไกด์ไลน์ว่าให้เราเขียนข้อความ (Copy) ให้มีการคุยกับคนไปบนโฆษณาด้วย โดยผ่านเรื่องเล่าต่าง ๆ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกดีที่แบรนด์มีการตอบคำถามอยู่ตลอดเวลา
2. Multiplier Concept พลังแฝงช่วยธุรกิจปิดการขาย ผ่าน Reels โฆษณา
คุณ Napapatch ได้บอกว่า Multiplier Concept พลังแฝงของการทำธุรกิจ หรือเรียกอีกชื่อว่าพลังคูณสอง ช่วยให้แบรนด์มีศักยภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้น โดยคุณ Napapatch บอกว่าพลังแฝงที่เราคิดนั้นคือ reels ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้
- 87% มีโอกาสเพิ่มจำนวนการเข้าถึง performance จาก reels
- 3.8 พันล้านคนที่เล่นเมตตาและเพิ่มขึ้นทุกเดือน และ 2 พันล้านคนเขาแชร์ reels ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าตัวพลังแฝงคือ reels เพราะมีการแชร์ทุกวัน และสองในสาม มีโอกาสที่จะมีผู้ใช้งานซื้อของ
- Reels ช่วยเรื่อง Awareness และ Conversion
- มีการเข้าถึงแบรนด์ 38% ที่ทำ reels
- มีโอกาสปิดการขาย 20% จากการทำคลิป reels
- Roas เพิ่มขึ้น 24%
- การพิจารณาการซื้อเพิ่ม 261%
- ผู้บริโภคมีความรู้ดีต่อแบรนด์ในการตอบคำถามถึง 36%
ตัวอย่างแบรนด์ GQ ที่ปรับตัวมาใช้ reels คือการทำวิดีโอเป็นแนวตั้ง มีความชัดเจนของสินค้า ใส่รายละเอียดให้ครบ ผลปรากฏว่า ความตั้งใจในการซื้อสูงถึง 9.3 เท่า หรือ 65% และ CRM ถูกลงถึง 5 %
โดยคุณ Napapatch ยังแนะนำ ทำอย่างไรถึงจะมีพลังแฝง 6 เทคนิคมหัศจรรย์ที่จะช่วยเพิ่มการปิดการขาย ดังนี้
- ทำคลิปวิดีโอไม่เกิน 15 วินาที ถือเป็นเวลาที่เหมาะสม ไม่ยาวจนเกินไป
- ไม่ควรทำเป็นแนวนอน เพราะอยากต่อการดู
- ไฮไลท์ว่าแบรนด์เป็นอย่างไร ตั้งแต่ต้น หรือช่วง 5 วิานทีแรก เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจง่าย
- ควรจะมีภาพนิ่งและวิดีโอ เพราะจะทำให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
- โฟกัสในสิ่งที่ขาย ตรงไปตรงมา อย่าไปเล่าเรื่องเยอะจนเกินไป
- หนึ่งคลิปควรใส่ใจความสำคัญแค่อย่างเดียว ไม่ควรใส่หลาย ๆ อย่างเพื่อทำให้ผู้บริโภคไม่ งง เช่นอาหารอร่อย บอกอร่อย ไม่ต้องไปบอกอะไรเยอะเกินไป
สรุปแล้วการทำ Customer Relationship ผ่าน Reels สามารถสร้างรายได้ ปิดการขาย สร้าง Customer Experience และมากไปกว่านั้น ยังสามารถสร้างงาน Creativity ได้ ที่สำคัญอย่ามองข้าม Multiplier Concept พลังแฝงผ่าน Reels เพราะ Reels เป็นมากกว่าการทำคลิปวิดีโอที่เอาไว้ดูเท่านั้น แต่ยังสามารถ Awareness และ Conversion ให้กับแบรนด์ได้อีกด้วย