ต้องยอมรับว่าวิดีโอคอนเทนต์ ยังเป็นคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมมากอยู่ในปัจจุบัน ทำให้หลายๆ แพล็ทฟอร์มมีความพยายามที่จะผลักดันพัฒนาฟีเจอร์นี้เพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะ Facebook ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์” เคยพูดว่าต่อไปจะเห็นวิดีโอที่เพิ่มมากขึ้นใน Facebook และตั้งแต่นั้นเราก็เห็นการดีเวลลอปต่างๆ สำหรับคอนเทนต์วิดีโอเรื่อยมา
ล่าสุด Facebook ก็ได้เพิ่มบริการใหม่ พัฒนามาเพื่อการผลิตออริจินัล วิดีโอคอนเทนต์ โดยเรียกบริการนี้ว่า Watch ซึ่งคาดการณ์กันว่าจัดมาเพื่อแบ่งเค้กเม็ดเงินโฆษณาจาก Youtube และ Nextflix
Watchมาในรูปแบบของแท็บวิดีโอใน Facebook ซึ่งทำได้หลายดีไวซ์ ทั้งมือถือ เดสก์ท็อป และแอพ TV แล้วยังทำได้ทั้งในรูปแบบบันทึกเป็นเอพิโซดและการ Live สด โดยพร้อมจะปล่อยให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ได้ใช้งานในวันพรุ่งนี้ (11 สิงหาคม ตามเวลาท้องถิ่น)
ทั้งนี้ ยังมีการแบ่งเป็นหมวดหมุ่ต่างๆ ให้รับชมอีกด้วย เช่น Most Talked Aboutจะเป็นคลิปที่คนกำลังพูดถึงกันมากที่สุดในตอนนั่นๆWhat’s Making People Laugh รวบรวมคลิปสนุกๆ ที่ทำให้คนหัวเราะ และหมวด What Friends Are Watchingบอกว่าเพื่อนคุณกำลังดูคลิปอะไรอยู่ และในขณะที่คุณกำลังดูคลิปอยู่ก็สามารถเขียนคอมเมนต์และแชทกับคนอื่นๆ ได้แบบเรียบไทม์ได้ไปพร้อมกันด้วย
นอกจากนี้ ยังมีข่าวแว่วว่า Facebook น่าจะลอนช์บริการใหม่นี้มาต่อกรกับเจ้าฮิตอย่าง Netflix ซึ่งแข็งแกร่งมากในออริจินัลคอนเทนต์ โดย Wall Street ระบุว่า มีข่าวว่ากำลังมองหาโปรดิวเซอร์จากฮอลลีวู้ดเพื่อสร้างรายการใหม่สำหรับผู้ชมอายุ 17-30 ปี
อาจจะพอบอกได้ว่า Watch น่าจะเป็นสปิงบอร์ดเพื่อสร้างรายได้แบบก้าวกระโดดให้กับ Facebook และคาดกันว่าไม่น่าจะเหมือนกับ Amazon Prime Video เพราะว่า Facebook Clip สามารถที่จะสตรีมไปที่ Chromecast และ Apple TV ได้ เรียกได้ว่าค่อนข้างครอบจักรวาลของผู้ชม TV มากกว่า
“…We hope Watch will be home to a wide range of shows — from reality to comedy to live sports. Some will be made by professional creators, and others from regular people in our community. We’re starting to roll out the Watch tab to a limited number of people in the US, and the plan is to bring it to more people soon. I hope you enjoy!”
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เขาต้องการผลักดันให้เกิดคอนเทนต์วิดีโอที่หลายหลายทั้งจากคนที่เป็นมืออาชีพ และบุคคละรรมดาทั่วไป แต่ในช่วงเริ่มแรกยังจำกัดเฉพาะที่สหรัฐฯ และเตรียมที่จะขยายแผนไปยังคนทั่วโลกในเร็วๆ นี้
ที่มา Techcrunch.com / Socialmedia.com / Thenextweb.com