หลายๆ คนคงรู้กันดีว่าทุกโพสต์ของเพจที่เราไปกดไลค์หรือแม้แต่เพื่อนของเราเองก็อาจจะไม่ได้ถูกเห็นทั้งหมด เพราะไม่อย่างนั้น news feed ของเราคงยาวชนิดตามอ่านกันไม่ไหว นั่นจึงทำให้มี EdgeRank ที่เข้ามาช่วยในการคัดสรรและกลั่นกรองโพสต์ที่ Facebook ประเมินว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เราควรจะเห็นโดยอ้างอิงจากปัจจัยหลักๆ สามอย่าง
ในการทำงานพื้นฐานของ EdgeRank นั้นคือการให้คะแนนจากปัจจัยต่างๆ แล้วลำดับโพสต์ที่มีคะแนนสูงที่สุดอยู่ด้านบนสุดของ news feed อย่างไรก็ตามก็มีปัญหาที่ว่าโพสต์บางโพสต์ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ใช้หรือมีเนื้อหาที่น่าสนใจกลับถูกปรับให้คะแนนต่ำแล้วไม่ถูกเห็นบนหน้า news feed ไปเสีย ซึ่ง Facebook เองก็เห็นปัญหานี้อยู่จึงได้ออกความสามารถใหม่ที่เรียกว่า Story Bumping เพื่อมาช่วยให้โพสต์เหล่านี้ถูกพบเห็นมากขึ้น
ภาพจาก EdgeRankChecker.com
หลักการทำงานของ Story Bumping คือการเลือกโพสต์ล่าสุดที่ยังไม่ได้ถูกเห็นจากผู้ใช้ Facebook แล้วนำมาแสดง ทำให้โพสต์ที่แม้ว่าจะถูกโพสต์ไปสักพักหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ถูกเห็นก็มีโอกาสถูกนำมาแสดงได้ (ทั้งนี้เพราะโดยปรกติ ยิ่งมีค่า Time Decay มากก็จะยิ่งลดโอกาสการเห็นมากขึ้นเท่านั้น)
*Story Bumping เริ่มใช้แล้วในระบบ Desktop แต่ยังไม่มีใช้ใน Mobile
นอกจากนี้แล้ว Facebook ยังอธิบายค่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้อ่านกับโพสต์ซึ่งมักเรียกกันว่า Affinity Score โดยที่ Facebook จะเรียกว่า Last Actor โดยการเก็บค่า 50 ปฏิสัมพันธ์สุดท้ายของผู้ใช้เอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเพจไหนอยู่ใน 50 ครั้งดังกล่าว ก็ย่อมมีโอกาสที่จะถูกมองว่ามีความสัมพันธ์กับผู้ใช้มากตามไปด้วย
ผลกระทบกับเจ้าของและคนดูแลเพจ
แน่นอนว่า EdgeRank เป็นเหมือนหัวใจหลักในการไขปริศนาให้คอนเทนต์ของเพจไปปรากฏบน news feed ซึ่งเป็นเสมือนหน้าหลักที่คนใช้งานเยอะที่สุด การที่เราเข้าใจหลักการของ EdgeRank มากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งทำให้มีโอกาสวางแผนคอนเทนต์ให้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น การปรับ EdgeRank โดยการเพิ่ม Story Bumping เข้าไปน่าจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการพบเห็นคอนเทนต์ของเพจมากขึ้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ปัจจัยเรื่องเวลาอาจจะถูกแก้ไขให้ดีขึ้น ส่วนของ Last Actor ก็ช่วยสร้างตัวเลขสำคัญสำหรับนักวางแผนคอนเทนต์ว่าทำอย่างไรให้คอนเทนต์ของเราเข้าไปอยู่ใน 50 ปฏิสัมพันธ์ล่าสุดของผู้ใช้ให้ได้
