ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกเราทุกวันนี้การสื่อสารดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตปประจำวัน โดยโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งอย่าง Facebook และล่าสุด ทำการปรับโครงสร้างองค์กรประกาศตั้ง Meta เป็นบริษัทแม่พร้อมเดินหน้าผลักดัน Metaverse เป็นเส้นทางใหม่ที่จะโฟกัสต่อไป
แม้ว่า Facebook ยังคงทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน แต่มากไปกว่านั้นหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า Facebook ก็มียูนิตหนึ่งที่สำคัญมาก ได้แก่ Facebook Creative Shop ซึ่งเป็นทีมที่สนับสนุนการทำงานร่วมกับแบรนด์และเอเจนซี่ในการผลักดันชิ้นงานครีเอทีฟต่างๆ มากมายให้เกิดขึ้นบนแพล็ตฟอร์มและโซเชียลมีเดียในเครือด้วย ซึ่ง คุณณธิดา รัฐธนาวุฒิ Founder Marketing Oops! ได้เชิญ 2 บุคคลสำคัญที่อยู่ในทีมการทำงานของ Facebook Creative Shop ได้แก่ คุณอาร์ต – ณปภัช กันตศิลป์ Creative Strategist, Facebook Creative Shop (SEA) – Thailand และ คุณอาแมนดา แฮนค๊อค Creative Agency Partner, Global Business Group มาร่วมพูดคุย มาร่วมพูดคุยถึงเบื้องหลังการทำแคมเปญสนุกๆ ผ่านผลงานความร่วมมือกับแบรนด์และเอเจนซี่ ซึ่งผลงานหลายชิ้นยังคว้ารางวัลระดับโลกมาด้วย โดยทาง Marketing Oops! ทำการ LIVE เมื่อวันที่ XXXX ที่ผ่านมา ซึ่งเราขอสรุปใจความสำคัญให้ฟังดังนี้
Facebook Creative Shop ทีมโซลูชั่นที่ตอบโจทย์การสร้างไอเดีย
คุณอาร์ต – ณปภัช กันตศิลป์ Creative Strategist, Facebook Creative Shop (SEA) – Thailand รับผิดชอบในส่วนของการทำงานร่วมกับ Creative Agency ในการช่วยสร้างสรรค์ชิ้นงานให้มีความครีเอทีฟ เดเวลล็อปไอเดียต่างๆ ผ่านการใช้เทคโนโลยี ดาต้า อินไซต์ และองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อให้แต่ละชิ้นงานออกมาได้รับการตอบรับที่ดีที่สุด ก่อนที่จะนำมาอยู่บนแพล็ตฟอร์ม
คุณอาร์ต ได้เล่าถึงความสำคัญของทีม Facebook Creative Shop ว่า เนื่องจากปัจจุบันแบรนด์และเอเจนซี่มองหาความท้าทายของการทำคอนเทนต์บน Facebook มากขึ้น เพราะเพียงแค่การทำคอนเทนต์แล้วโพสต์บนแพล็ตฟอร์มไม่อาจตอบโจทย์ความสนใจจากผู้บริโภคในปัจจุบันได้แล้ว โอกาสที่จะถูกฟีดผ่านมีสูงมากขึ้น ดังนั้น ทีมของ Facebook Creative Shop จึงเข้ามาเป็นคำตอบในการเป็นโซลูชั่น ร่วมปั้นคอนเทนต์ให้น่าสนใจมากขึ้น สร้างสรรค์ผ่านเครือข่ายต่างๆ ของ Facebook ไม่ว่าจะเป็น Instagram WhatsApp Messenger และ Oculus เป็นต้น และแน่นอนว่ารวมไปถึงล่าสุดกับการก้าวไปสู่ Metaverse ซึ่งเป็นเป้าหมายใหม่ที่เพิ่งประกาศไป ดังนั้น เราสามารถนำองค์ความรู้ที่เรามี แนะนำให้กับคนที่สนใจจะสร้างสรรค์งานบน Ecosystem ต่างๆ ของเราได้ โดยใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ที่เรามี ไม่ว่าจะเป็น Story, Messenger Chat, AR หรือฟีเจอร์ 360 องศา ฯลฯ หยิบเอาฟีเจอร์เหล่านี้ไปใช้อย่างสร้างสรรค์มากกว่าที่เราเคยรู้ ซึ่งการที่แบรนด์หรือเอเจนซี่มาจับมือร่วมงานกับเราจะทำให้เขาได้ใช้ศักยภาพของโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้อย่างเต็มที่มากกว่าใคร
ตัวอย่างงานของการใช้ฟีเจอร์และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์
คุณอาร์ต ยังเล่าว่า ปัจจุบันทาง Facebook Creative Shop ได้ร่วมงานกับแบรนด์ เอเจนซี่ ที่หลายหลายมาก แม้แต่มูลนธิองค์กรที่ไม่แสงหากำไร ก็ช่วยสร้างสรรค์ไอเดีย และให้คำแนะนำไปให้เพื่อให้งานเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น หรือทำให้งานน่าสนใจมากขึ้น โดยขอยกตัวอย่างงานที่ทำแล้วได้รับการตอบรับที่ดี ดังนี้
M-150 ศรีสะเกษ ศ.รุ่งวิสัย : เปลี่ยนคอมเมนต์เป็นเสียงเชียร์
แบรนด์ M-150 ซึ่งเป็นสปอนเซอร์หลักให้กับ “ศรีสะเกษ ศ.รุ่งวิสัย” นักมวยดีกรีแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวต WBC ที่ต้องบินไปป้องกันแชมป์ที่สหรัฐฯ แต่แน่นอนว่าการเดินทางไปต่างประเทศเสียงเชียร์และกำลังย่อมน้อยกว่าการป้องกันแชมป์ในบ้านเรา ดังนั้น ทางแบรนด์และเอเจนซี่จึงมองเห็นว่าช่องทางของ Facebook น่าจะช่วยสร้างกำลังใจที่ดีให้กับนักกีฬาไทยเพิ่มขึ้นได้ จึงได้ทำคลิปส่งกำลังใจไปให้ ศรีสะเกษ ศ.รุ่งวิสัย แล้วให้คนไทยคอมเมนต์ไลก์แชร์แสดงพลังของคนไทยส่งไปให้เขาด้วย ผ่าน Facebook Fan page ของ M150 แต่มากไปกว่านั้น เรายังได้หยิบเอาคอมเมนต์ต่างๆ ปักลงไปบนผ้าคลุมมอบให้เขากับ ซึ่งออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ชื่อดัง “คุณหมู ASAVA” เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่ากำลังใจและเสียงเชียร์ของคนไทยอยู่กับเขาไปในทุกๆ ที่ด้วย
จากนั้นเราก็ทำการ LIVE บน Facebook Fan page ของ M-150 ให้คนไทยชมการแข่งขัน ซึ่งเมื่อคนเห็นว่ามีคอมเมนต์ต่างๆ ถูกนำมาปักบนเสื้อ ยอดรับชมก็ถล่มทลายมากทีเดียว ภายใน 1 ชั่วโมงมียอดคนดู 1 ล้านคน พร้อมกับแคมเปญนีก็ได้รับรางวัลจากหลายเวทีของวงการโฆษณาอีกด้วย
JD Central Valentines : การใช้ Messenger เพื่อ Targeting Audience
อีกหนึ่งตัวอย่าง ที่น่าสนใจของการใช้ ฟีเจอร์ Messenger ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะมองเป็นแค่แอปแชท แต่เคสนี้เราได้ร่วมงานกับ JD Central ซึ่งเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทย จัดแคมเปญต้อนรับวาเลนไทน์ โดยการที่ให้ผู้หญิงอยากได้ของขวัญอะไรให้แชทมาบอกที่ Messenger ของแบรนด์ แล้วเดี๋ยวเราจะส่งไปให้ผู้ชายได้รู้ โดยจะทำเป็น Custom Audience โดยใช้ Messenger เป็นฮับ แล้วก่อนถึงวันวาเลนไทน์เราก็จะยิง Ads ไปหาคุณกลุ่มผู้ชายที่มีแฟน เช่น ถ้าแฟนของคนนั้นชื่อ “น้องเอ” เขาก็จะเห็นโฆษณาว่า “น้องเอ” อยากได้น้ำหอม คุณผู้ชายคนนั้นก็จะรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมมีชื่อแฟนของเขาอยู่บนโฆษณานั้นด้วยนะ แล้วเราก็จะยิง Ads ไปเรื่อยๆ เพื่อโน้มน้าว่าต้องซื้อน้ำหอมนะเพราะแฟนของเขาชอบ
ปรากฎว่าประสบความสำเร็จมาก สามารถ Targeting Audience ให้โดนใจเป็นรูปแบบ Platform Excellence ที่ได้รับรางวัลอีกเช่นกัน ทั้ง AdFest, Spikes Asia และก็ Best Digital ของเวที AdMan ด้วย
Pomelo และ Dutch Mill : การใช้ Poll ที่ช่วย Retargeting ได้
หรือแม้แต่ฟีเจอร์ Poll Ad หรือการเปิดโหวต ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยทราบว่าตรงนี้สามารถทำให้แตกต่างไปมากกว่าแค่ออกมาเป็นผลโหวต แต่ทำให้แคมเปญครีเอทีฟมากขึ้กว่าเดิมได้ โดยขอยก 2 เคส
เคสแรก Pomelo แบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่น จัดแคมเปญเบิร์ธเดย์เซลล์ ที่ต้องการเล่นกับลูกค้าว่าอยากให้เลือกสินค้ามา 10 อย่างที่ต้องการให้มาลดราคา 70% ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ามาก เข้ามาตอบกันมากมาย ซึ่งเคสนี้ก็เหมือกับการทำโฟกัสกรุ๊ปอีกรูปแบบหนึ่งแต่ใช้ Poll Ad เป็นแพล็ตฟอร์ม ในขณะเดียวกันยังสามารถทำ Retargeting ได้ต่ออีก โดยเข้าไปเสนอออฟเฟอร์ส่วนลด 50% ให้กับลูกค้าที่โหวตแล้วแต่ไม่ชนะ ซึ่งแม้ว่าเขาจะไม่ได้ส่วนลด 70% แต่เขาได้ 50% ในสิ่งที่เขาต้องการ
เคสที่สอง แบรนด์ Dutch Mill ทำแคมเปญเล่นกิจกรรมนำใบเสร็จไปลุ้นชิงรางวัลบัตรคอนเสิร์ตของ ศิลปินวัยรุ่นชื่อดัง The Toy โดยสิ่งที่เล่นกับแพล็ตฟอร์ม Messenger ก็คือการทำ Poll ให้เลือกโหวตว่าอยากให้ Dutch Mill ทำไอศกรีมหน้า The Toy เป็นแบบไหน ผลโหวตที่มากที่สุดทาง Dutch Mill ก็จะเอาไปทำเป็นหน้านั้นแจกในงาน เป็นอีกหนึ่งไอเดียของการใช้ Messenger ที่น่ารักมาก ทำให้เห็นว่าฟีเจอร์นี้ไม่ใช่แค่ไว้แชทอย่างเดียว แต่ยังสามารถทำในแง่มุมอื่นๆ ได้อีก
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายเคสมากมายที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ Facebook Creative Shop ร่วมกันระหว่างแบรนด์และเอเจนซี่ เช่น การใช้ วิดีโอ 360 องศาของแบรนด์ OLEY กับแคมเปญ “OLEY 30 ยังแจ๋ว” ที่สามารถหมุนมือถือไปได้รอบๆ แล้วสลับเปลี่ยนเพลงเก่ากับเพลงใหม่ให้ประกบกันได้ในคลิปเดียว หรืออีกเคสกับการใช้เทคโนโลยี AR ในมิวสิควิดีโอของ “เนสกาแฟ” ที่มีไอซ์-พาริส และเจเลอร์ มาร่วมกันฟีเจอร์ริ่ง ซึ่งทำให้เหมือนกับว่าใบหน้าของเรากำลังดมจ่ออยู่ใกล้ๆ แก้วกาแฟ
หัวใจสำคัญของการทำ Creative ผ่าน Facebook
เหล่านี้คือตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยี และแพล็ตฟอร์มต่างๆ อย่างมีศักยภาพในเครือข่ายของ Facebook ผ่านการร่วมคิดร่วมสร้างกับทีมของ Facebook Creative Shop ซึ่งบางครั้งเอเจนซี่เข้ามาปรึกษากับเราว่าเขาเต็มไปด้วยไอเดียดีๆ มากมายเลย แต่อาจจะไม่รู้ว่าจะใช้ Platform ไหนดีบน Facebook ดังนั้น ตัว Big Idea ที่เรามีสามารถแตกยอดแตกหน่ออกมาได้มากมาย ซึ่งทีมของเราก็สามารถแนะนำได้ว่า Big Idea แบบนี้น่าจะมาทำกับตัวนี้หรือทำรูปแบบนี้กันดีกว่า ซึ่งเราก็สามารถช่วยขัดเกลาไอเดียได้ รวมไปถึงช่วยกันทำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้ตั้งแต่ต้นจนจบเลย
“หัวใจสำคัญที่สุดมันอยู่ที่ Idea และการใช้ Platform ซึ่งถ้าทั้งทั้งสองอย่างมันดี ลงตัวทั้งคู่ เมื่อประกอบร่างกันแล้ว นำมาใช้งานให้ถูกที่ถูกทาง ผลงานชิ้นนั้นก็จะประสบความสำเร็จได้แบบเกินคาด”
สนับสนุนการสร้างประสบการณ์ผ่าน Customer Journey
คุณอาแมนดา แฮนค๊อค Creative Agency Partner, Global Business Group รับผิดชอบในการประสานงานดูแลลูกค้าทั้งแบรนด์และเอเจนซี่ ที่เป็นทั้งครีเอทีฟและฝั่งของมีเดียเอเจนซี่ด้วย กล่าวถึงวิธีการทำงานร่วมกันในฐานะที่วันนี้ Facebook Creative Shop สามารถทำได้มากกว่าแพล็ตฟอร์มว่า วันนี้แบรนด์หรือเอจนซี่ที่มาร่วมงานกับเรา อยากให้คิดหรือมองแบบไม่ได้แยกเป็นส่วนๆ แต่ให้คิดตรงไปที่โจทย์เลยว่าเรากำลังต้องการเข้าถึงใคร และ Customer Journey จะเดินทางกันไปอย่างไร แล้วเราจะใช้ความรู้และเทคโนโลยีของเราเข้ามาช่วยเสริมที่จะทำให้เจอร์นีย์ของลูกค้านั้นต่อยอดให้สำเร็จได้ ดังเช่น ตัวอย่างต่างๆ ที่เราได้นำเสนอไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Poll การใช้ Messenger หรือการใช้ AR เป็นต้น ซึ่งเรามีเทคโนโลยีมากมาย ที่บางคนทราบอยู่แต่เมื่อใส่ไอเดียครีเอทีฟลงไปก็สร้างสรรค์เป็นเรื่องใหม่ได้ หรือบางคนก็อาจไม่รู้ว่าทำแบบนี้ได้ด้วย
“เรามีเทคโนโลยี ที่ค่อนข้าง Advance แล้วก็สามารถรองรับทั้ง Journey ของยูเซอร์ได้ รวมถึงมีฟีเจอร์มากมายที่เข้ามาเสริม เพื่อให้ Journey ไปได้อย่างสมูทและมีประสิทธิภาพมากที่สุด”
พร้อมในการซัพพอร์ตทุกทีม ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
สำหรับการติดต่อประสานงานเข้ามาว่าหากสนใจที่จะทำชิ้นงานให้เกิดความครีเอทีฟมากขึ้น ทำได้ 2 วิธีด้วยกัน วิธีแรก ก็คือเข้ามาขอคำปรึกษาจากทีม Facebook Creative Shop ได้เลย ซึ่งปัจจุบันเราทำให้ทั้งในประเทศและหลายประเภทในภูมิคเอเชีย มีเคสตัวอย่างทั้งของไทยหรือของต่างประเทศให้ศึกษา หรือ วิธีที่ 2 อาจจะอยากลองทำด้วยตัวเองก่อนก็ได้ ก็สามารถเข้าไปยัง Facebook Business Partner เพื่อไปค้นหาศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองก่อนก็ได้ เพราะในเว็บไซต์จะเต็มไปด้วยข้อมูลและ Case Study ตัวอย่างต่างๆ ของการใช้แต่ละแพล็ตฟอร์ม หรือตัวอย่างการใช้ฟีเจอร์ต่างๆ มีภาษาไทยซึ่งช่วยให้อ่านได้ง่ายด้วย ตอบโจทย์ทั้งที่เป็นแบรนด์ใหญ่หรือจะเป็นแบรนด์สำหรับกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งตอนนี้ทำโฆษณากับ Facebook มากขึ้น
“จริงๆ ก็มีหลายวิธีการเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นการเข้ามา Brainstorm กัน มาคิดร่วมกันหรือว่าทางแบรนด์หรือเอเจนซี่แชร์ไอเดียมาว่าอยากทำอะไร ก็แล้วเราก็มาเช็คไอเดียกันต่อว่า อันนี้ไปต่อได้ไหมผ่านเทคโนโลยีอะไร หรือใช้ลูกเล่นอะไรได้บ้าง ที่จะทำให้ไอเดียมันโดดเด่นขึ้นมา และมีเอฟเฟ็คทีฟมากขึ้น และเมื่อได้ไอเดีย ทีนี้ฝั่ง Media หรือ Planning ก็สามารถมาทำงานต่อได้เลยทันที ซึ่งจะประสานหรือมาขอคำแนะนำกับเราก็ได้เช่นกัน เราก็มี Data ที่จะคอยช่วยซัพพอร์ตให้ด้วย เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”
ความท้าทายของความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ควรจำกัดกรอบด้วยบัดเจ็ท
เมื่อถามในประเด็นที่ว่าปัญหาส่วนใหญ่ที่แบรนด์หรือเอเจนซี่เข้ามาขอคำปรึกษาคืออะไร คุณแมนดี้ตอบว่า ความท้าทายที่สำคัญเลยคือเรื่องของบัดเจ็ทเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเจอปัญหาลักษณะนี้กันแทบจะทุกเอเจนซี่เลยรวมไปถึงทางฝั่งแบรนด์เองด้วย ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าถ้าได้ศึกษาจริงๆ หลายฟีเจอร์และเทคโนโลยีที่เรามีไม่ได้ใช้งบประมาณอะไรที่สูงมากนัก หรือจริงๆ แค่นำสิ่งที่มีอยู่มาปรับใช้แล้วทำให้เกิดสิ่งใหม่ เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อนก็ได้ ยกตัวอย่างงานที่คุณอาร์ตได้แนะนำก่อนหน้านี้ เช่น การทำ Poll การใช้วิดีโอ 360 องศา เป็นต้น ไอเดียมีอยู่รอบๆ ตัวเรา สร้างให้ Consumer Journey มีความหลากหลาย มีความน่าตื่นเต้นมากขึ้น โดยการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพาร์ทเนอร์เรา พวกเราก็จะช่วยสร้างจุดเด่นให้กับงานของคุณได้ มาช่วยคิดร่วมกันได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้บัดเจ็ทมากมาย ซึ่งในสถานการณ์อย่างนี้เข้าใจเลยว่าหลายๆ ธุรกิจกำลังเริ่มฟื้นตัวจากโรคระบาด ดังนั้น บัดเจ็ททุกบาทจึงมีค่ามีความสำคัญอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม อยากสนับสนุนให้ลองแตกไอเดียใหม่ออกมากัน เพราะแพล็ตฟอร์มเรามีตัวเลือกมากมาย และมีประสิทธิภาพ หลายๆ งานไม่จำเป็นต้องเป็นหนังโฆษณาเพียงอย่างเดียว เราลองมาร่วมค้นหาไปด้วยกันว่า ในแต่ละฟีเจอร์ของ Facebook นั้นทำอะไรได้บ้าง ซึ่งคิดว่าตรงนี้ก็ชาเลนจ์และสำคัญไม่แพ้กับเรื่องของบัดเจ็ทเลย
เชื่อว่าจากการบทสนทนทาในครั้งนี้น่าจะทำให้เห็นภาพของการทำงานที่ชัดขึ้นของทีม Facebook Creative Shop ที่จะมาช่วยทำให้แคมเปญต่างๆ สร้างสรรค์ได้มากกว่าเดิม และมากกว่าเพียงแค่แพล็ตฟอร์มที่ไว้ลงชิ้นงานเท่านั้น แต่ในฟีเจอร์ต่างๆของ Facebook ยังมีหลายสิ่งที่รอทุกคนไปค้นหา รวมไปถึงโลกของ Metaverse ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย.