อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) และโน้มน้าวใจผู้บริโภคได้มากกว่าการตลาดแบบเก่า โดยเฉพาะ ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ (Micro Influencer) มีแนวโน้มทรงอิทธิพล และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ในปี 2562 โดย 5 วงการอินฟลูเอนเซอร์ที่พบมากที่สุดบนโลกโซเชียล ได้แก่ วงการท่องเที่ยว วงการอาหาร วงการแฟชั่นและความสวยความงาม วงการสุขภาพ และ วงการการเงินและการลงทุน โดยธุรกิจที่มีแนวโน้มหันมาใช้การตลาดดังกล่าวเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มธุรกิจที่มีสินค้า และบริการ ที่มีความซับซ้อน เข้าใจได้ยาก และต้องการความน่าเชื่อถือสูงอย่าง กลุ่มธุรกิจการเงินการลงทุน กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มไอที
เทรนด์การตลาดออนไลน์ดังกล่าว เริ่มแพร่หลายตั้งแต่ช่วงปี 2558 โดยเริ่มจากการใช้ ดารานักแสดง คนดังที่เป็นที่รู้จัก และพรีเซ็นเตอร์ และมีพัฒนาการของกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์เพิ่มขึ้น ทั้งบล็อกเกอร์ และยูทูปเบอร์ เน็ตไอดอล ที่เน้นการให้ข้อมูลในรูปแบบประสบการณ์ หรือการรีวิว ที่เข้าถึงง่าย และผู้บริโภคให้ความเชื่อมั่นสูง และคาดว่า กลุ่มไมโครอินฟลูเอนเซอร์ (Micro Influencer) ที่มียอดผู้ติดตามระหว่าง 10,000 – 100,000 คน จะมีแนวโน้มทรงอิทธิพล และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ในปี 2562 เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มักมีลักษณะพิเศษคือ มีความถนัดเฉพาะด้าน มีชื่อเสียงเฉพาะกลุ่ม และเป็นตัวของตัวเอง ทำให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และมักจะได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคที่มากกว่า
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจที่มีสินค้า และบริการ ที่มีความซับซ้อน เข้าใจได้ยาก และต้องการความน่าเชื่อถือสูงอย่าง กลุ่มธุรกิจการเงินการลงทุน กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มไอที มีแนวโน้มจะหันมาใช้การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสามารถให้ข้อมูลเชิงลึก ด้วยการสื่อสารที่เข้าใจได้ง่ายกว่า สื่อการตลาดรูปแบบเดิมๆ ทั้งยังประหยัดงบประมาณการลงทุนจำนวนมาก
การเลือกใช้สื่อที่เหมาะสมและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นกุญแจสำคัญของการตลาดออนไลน์ ผู้ประกอบการ นักการตลาด ควรต้องเข้าใจพื้นฐานของผู้บริโภค เพื่อการตัดสินใจการทำกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม โดยกลยุทธ์การทำการตลาดออนไลน์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ที่แนะนำ เพื่อสร้างความน่าสนใจ เอกลักษณ์ และความแตกต่างของธุรกิจ ได้แก่ กลยุทธ์ “ซี้ด” (SEED Strategy) ประกอบด้วย
S: Sincere ความจริงใจ
ปัจจุบัน ผู้บริโภคมีช่องทางได้รับข้อมูลมากมาย และรู้เท่าทันการสื่อสารการตลาดมากขึ้น นักการตลาดจึงควรเลือกใช้สื่ออินฟลูเอนเซอร์ที่มีคาแรคเตอร์เป็นตัวของตัวเอง และเป็นธรรมชาติ
E: Enterprise ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
การรีวิวที่ประสบความสำเร็จ จนนำมาสู่การตัดสินใจซื้อสินค้า และบริการ นักการตลาดควรพิจารณาเลือกผู้ที่สามารถให้มากกว่าเพียงความรู้พื้นฐาน แต่ต้องมีความรู้ความถนัดเฉพาะด้านที่ตรงกับธุรกิจ
E: Engagement การเข้าถึง
จำนวนผู้ติดตามมาก ไม่ได้สะท้อนการสื่อสารการตลาดที่มีประสิทธิภาพ นักการตลาดจึงควรศึกษาการเข้าถึงบนช่องทางของอินฟลูเอนเซอร์ โดยควรมีผู้ติดตาม กดถูกใจ (Like) เผยแพร่ต่อ (Share) และแสดงความคิดเห็น (Comment) รวมกันคิดเป็นร้อยละ 5 ของจำนวนผู้ติดตามทั้งหมด
D: Different ความแตกต่าง
ท่ามกลางกลุ่มผู้มีอิทธิพลบนโลกโซเชียลที่มีจำนวนมากในปัจจุบัน การสื่อสารการตลาดที่สร้างความแตกต่างให้กับผู้บริโภค นับเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ จึงควรพิจารณาถึงเอกลักษณ์ที่โดดเด่น และแตกต่างของสื่อกลางการสื่อสาร ที่ตรงกันกับบุคลิกของแบรนด์ธุรกิจ
นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาถึงรูปแบบเนื้อหา และช่องทางการสื่อสารของสื่อที่ใช้ ซึ่งจากการวิจัยพบว่า คอนเทนท์รีวิวสินค้าในรูปแบบวิดีโอ มีประสิทธิภาพมากกว่าเพียงรูปภาพ โดยช่องทางโซเชียลที่เข้าถึงผู้บริโภค 3 อันดับแรก ได้แก่ เฟซบุ๊ก (Facebook) อินสตาแกรม (Instagram) และยูทูป (YouTube) ทั้งนี้ จากสถิติตัวเลขการใช้จ่ายสื่อการตลาดดิจิทัลย้อนหลัง 5 ปี (ที่มา: สมาคมดิจิทัล ประเทศไทย ปี 2561) พบว่า เม็ดเงินการลงทุนบนออนไลน์แพลทฟอร์มโตกว่า 3.5 เท่า (ราว 10,000 ล้านบาท) และยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2562 นี้ ดร.บุญยิ่ง กล่าวสรุป
กลยุทธ์จากงานสัมนาการตลาด “Such Seed Marketing: 2019 Influencer ครองเมือง” โดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU)