พูดถึงปัญญาประดิษญ์หรือ AI (Artificial Intelligence) ที่เปรียบได้ไม่ต่างจากไฟฟ้าที่อยู่ทั่วทุกแห่ง เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้สิ่งต่างๆทำงานได้ ไม่เว้นแต่การทำการตลาด มันอาจทำให้เราตกงานก็จริง แต่มันก็ช่วยแบ่งเบาภาระไม่ให้เราทำงานในเรื่องไม่เป็นเรื่อง งานที่ต้องคำนวนจากข้อมูลเยอะๆ หรืองานที่ต้องทำซ้ำๆซาก ให้เรามีเวลาไปทำในเรื่องที่สร้างสรรค์และจำเป็น ไม่เว้นแต่การตลาด AI สามารถทำนายสินค้า บริการ หรือคอนเทนต์ที่เราอาจจะชอบได้แม่นยำ ตัวอย่างชัดเจนก็ไหนไม่พ้น Amazon และ Netflix
ฟังดูไกลตัวแต่ งานการตลาดที่ AI ช่วยได้มันใกล้ตัวกว่าที่เราคิด นี่คืองานการตลาด 3 อย่างที่ว่าที่ AI ทำได้ และจะทำได้ดีกว่าคนเสียด้วยซ้ำ
ประมูลคีย์เวิร์คหรือพื้นที่โฆษณา
พูดง่ายๆคือ AI อย่างไรมันก็คำนวนเก่งกว่าคน เพราะมันเข้าถึงข้อมูลจำนวนมากๆที่สมองของคนรับไม่ได้ ตัวอย่างง่ายๆเช่นการประมูลคีย์เวิร์ดเพื่อทำ Google Adwords เราจะประมูลคีย์เวิร์ดนั้นเท่าไหร่ถ้าลูกค้ามาคลิกโฆษณาของเรา หากเราบอก AI ไปว่าเรายอมจ่าย 50 บาทต่อคนที่สนใจในคอนเทนต์ที่เราเสนอ (Lead) AI ก็จะไปหา Lead มาให้ในงบที่เรากำหนด ซึ่งถ้ามีใครค้นหาคีย์เวิร์ดตัวไหนอยู่ AI ก็จะรู้ทันทีว่าคนนั้นใช้แอปฯอะไรพิมพ์ รู้ว่าคนนั้นอยู่ไหน และรู้ว่าคนๆนั้นพักผ่อนอยู่บ้าน ทำงานหรือลาพักร้อน ช่วยให้ได้ Lead ที่แม่นยำสุดๆ ซึ่งคนธรรมดาคงทำไม่ได้ แต่กว่า AI จะทำได้ขนาดนั้น ก็ต้องเรียนรู้เหมือนกัน ซึ่งก็ใช้เวลาประมาณ 2-4 เดือนขึ้นอยู่กับขนาดของแคมเปญ
ระบุกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ถ้าพูดถึงการทำการตลาดแบบเดิมๆ เวลาจะขายของก็ต้องรู้ว่าลูกค้าเป็นใคร ต้องรู้ว่าอายุเท่าไหร่ อยู่ที่ไหน แต่ถ้าใช้ AI ความสำคัญของลักษณะของตัวกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะลดลง เพราะ AI สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าตามแนวโน้มความตั้งใจที่ลูกค้าจะซื้อของ เช่นเกิดคนที่ชอบเล่นบาสเกตบอลเริ่มเปิด Google หาวิธีซ่อมเครื่องซักผ้า หรือทำอย่างไรที่จะซื้อเครื่องซักผ้าราคาถูกและส่งถึงบ้านฟรี AI ก็จะรู้ล่วงหน้าทันทีว่าคนๆนี้มีแนวโน้มไปแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้าง เราก็ทำการตลาดเจาะคนพวกนี้ได้ทันที โดยอาจจะไม่จำเป็นว่าคนๆนั้นลักษณะเป็นอย่างไร
ส่งข้อความหรือทำคอนเทนต์
ใครที่ทำงานด้านนี้อยู่มีโอกาสตกงานน้อยกว่าคนที่คอยประมูลคีย์เวิร์คหรือพื้นที่โฆษณาหรือระบุกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าความสามารถของ AI จะไล่ไม่ทัน เพราะ AI ของทั้ง Google และ Facebook สามารถเข้าใจบริบทของเว็บเพจได้แล้ว รู้ว่าคำ ประโยคหรือลัญลักษณ์ไหนมีความหมายว่าอะไร
อย่าง AI ของ Facebook เราแค่ป้อนตัวอย่างหัวเรื่องและคำโฆษณาไปไม่กี่ตัว รวมถึง Call to Action แล้วก็ให้ AI ไปจับผสมและหาว่าคำโฆษณาตัวไหนดีที่สุดสำหรับแคมเปญ ไม่เว้นแต่ AI ของ Google ที่เอามาใช้ทำ Responsive Display Ad แค่เราป้อนหัวเรื่อง 15 ตัว คำบรรยายไป 4 รูปแบบ จากนั้นก็ให้ AI ไปจับคู่ผสมแล้วหาคำโฆษณาที่ดีที่สุด ประหยัดเวลาเราในการทำ A/B Test ไปได้เยอะเลย
แหล่งที่มา