“การทำการตลาด” เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาโดยเฉพาะในโลกยุคหลังที่เกิดนวัตกรรมเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมนุษย์ไปอย่างมากมาย โดย “การตลาด” เคลื่อนตัวไปจากโลกสื่อกระดาษสู่โลกจอทีวี ก้าวจาก “โลกอินเตอร์เน็ต” เข้าสู่โลกของ “โซเชียลมีเดีย” การเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นมีตัวแปรสำคัญอยู่ที่ Technology จนกระทั่งในปัจจุบันเกิดคำศัพท์ที่เรียกว่า “Martech” สิ่งที่แบรนด์ไม่สามารถมองข้ามได้ เห็นได้จากในปัจจุบันหลายบริษัทใช้งบมากถึง 20% ของงบการตลาดทั้งหมดไปกับ Martech เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ
อย่างไรก็ตามยังมีน้อยคนที่จะเข้าใจความหมายของคำว่า Martech อย่างแท้จริง บทความนี้จึงจะมาอธิบายให้เข้าใจคำว่า Martech ให้มากขึ้น พร้อมทั้งตอบคำถามด้วยว่า ทำอย่างไรจะใช้ Martech ให้ประสบความสำเร็จและที่สำคัญก็คือจะต้องใช้งบประมาณไปกับ Martech เท่าไหร่กันแน่? โดยเนื้อหามาจากการสัมมนาหัวข้อ 2023 Martech Trend โดยคุณแบงก์ สิทธินันท์ พลวิสุทธิ์ศักดิ์ ซีอีโอ Content SHIFU ในงานสัมมนา Empowering Martech To Your Brand จัดขึ้นโดย ada Thailand บริษัทผู้ให้บริการและที่ปรึกษาด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถนำมาใช้กับการทำการตลาดได้ ซึ่งหนึ่งในบริการของ ada ก็การนำ Martech ปใช้กับองค์กรต่างๆนั่นเอง
MARTECH คืออะไร?
Martech เป็นคำสมาสระหว่างคำว่า Marketing ที่หมายถึงการทำความเข้าใจลูกค้าและเสนอสิ่งที่ตรงความต้องการของลูกค้ามากที่สุด และคำว่า Technology ที่หมายถึงนวัตกรรมที่ทำให้ชีวิตคนเราดีขึ้นและง่ายขึ้น ดังนั้น Martech จึงหมายถึงนวัตกรรมที่ทำให้เราทำการตลาดหรือทำให้เราเข้าใจลูกค้ามากขึ้นและส่งมอบสิ่งที่ตรงใจลูกค้าได้มากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
คุณแบงก์เปิดเผยข้อมูลจากรายงาน Thailand Martech Report 2023 ที่ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างกว่า 500 คนในแวดวง Digital Agency แบรนด์ พบว่าคนส่วนใหญ่แม้แต่คนที่ทำงานในสายงาน Marketing เองก็ยังไม่เข้าใจ Martech และไม่รู้ตัวว่าในเวลานี้ก็กำลังใช้ Martech ในการทำงานอยู่แล้ว พร้อมกับเฉลยว่า จริงๆแล้วการใช้ระบบ Facebook Ads, Google Analytic หรือ Google Trends เองก็นับเป็นการใช้ Martech แล้วเช่นกัน
จักรวาล MARTECH
คำถามก็คือนอกจาก Facebook Ads และ Google Analytic หรือ Google Trend ที่หลายคนอาจคุ้นเคยดีแล้วในโลกนี้มี Martech อะไรอีกบ้าง คำตอบก็คือมีมากมายมหาศาล โดยหากนับจนถึงปี 2022 มี solution Martech บนโลกนี้นับหมื่นๆบริการเลยทีเดียว
ขณะที่บริการของคนไทยเองก็มีอีกนับไม่ถ้วนตามภาพประกอบด้านล่างนี้
โดยหากเปรียบเทียบกันแล้วบริการ Martech จากต่างชาตินั้นยังคงได้รับความนิยมมากกว่าบริการที่มีเจ้าของเป็นคนไทยในทุกหมวดหมู่อย่างเช่นบริการด้าน Ads (โฆษณา) , Analytic (วิเคราะห์ข้อมูลจากบิ๊กดาต้า), CRM for B2B (บริหารจัดการลูกค้าแบบB2B) รวมถึง CMS (ระบบบริหารจัดการเว็บไซต์) โดยในไทยบริษัท Martech ต่างชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ WordPress ตามมาด้วย Wix รวมถึง Joomla ที่เป็นระบบบริหารจัดการเว็บไซต์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามมีบริการ Martech บางอย่างที่ได้รับความนิยมในไทยด้วยเช่นกันโดยเฉพาะบริการที่มีกำแพงเรื่องภาษาและแพลทฟอร์มเช่น บริการ Social Listening รวมถึง CRM for B2C ยกตัวอย่าง Martech แบบ Social Listening ที่เป็นของไทยก็เช่น Wisesight, Zanroo (แสนรู้) หรือ Mandala เป็นต้น
หมวดหมู่ต่างๆของ MARTECH
คุณแบงก์ยกตัวอย่างหมวดหมู่ใหญ่ๆของ Martech ที่มีคนใช้มากที่สุดในปัจจุบันออกเป็น 6 หมวดหมู่ด้วยกันและในหมดหมู่เหล่านี้บรรดาองค์กรต่างๆในไทยยังวางแผนที่จะใช้บริการมากขึ้นต่อๆไปด้วย โดยแต่ละหมวดหมู่ประกอบไปด้วย
- โฆษณาและการโปรโมท เช่นบริการด้าน programatic ad, social/search ads เป็นต้น
- ข้อมูล เช่น บริการ Analytic, Social Listening ต่างๆเป็นต้น
- คอนเทนต์และประสบการณ์ เช่น CMS บริหารจัดการเว็บไซต์ Email Marketing, Marketing Automation หรือแม้แต่ Content Creation แบบ Canva เป็นต้น
- โซเชียลและความสัมพันธ์ เช่นบริการระบบบริหารจัดการ Social Media เช่น Hootsuite มาช่วยจัดการ หรือระบบ CRM อย่าง Buzzebees, Salesforce หรือ hubspot เป็นต้น
- การทำงานร่วมกันและการจัดการ เช่นระบบ project management ต่างๆเช่น Asana, Trello, Slack หรือบริการ Business Operation อย่าง Google Workspace หรือ Microsoft 365 เป็นต้น
- การพาณิชย์และการขาย เช่นระบบ e-commerce ระบบ Shopping Card ต่างๆรวมถึงบริการบริการจัดการการขายแบบ Multi-Channel Management เป็นต้น
Data คือเรื่องใหญ่และต้องทำ
คุณแบงก์ เปิดเผยเทรนด์ Martech ในประเทศไทยที่น่าสนใจด้วยว่า สิ่งที่หลายๆองค์กร หลายๆแบรนด์พูดตรงกันถึงสิ่งที่จะทำในปี 2023 ก็คือจะต้องสร้าง Customer Data Platform หรือ CDP ที่เป็นเทคโนโลยีเก็บข้อมูลลูกค้า เก็บดาต้าต่างๆเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดรวมไปถึงเพิ่มยอดขายให้มีมากขึ้น
นอกจากนี้มีบริการ Martech อื่นๆที่ได้รับความสนใจแต่ยังไม่มากนัก เช่นด้านเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดเวลา ลดต้นทุน และอื่นๆอีกมากมาย และสิ่งนี้เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าบรรดาบริษัท Martech เองก็สร้างเทคโนโลยีขึ้นมาตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
นอกจากนี้คุณแบงก์ยังเปิดเผยถึงเทรนด์การใช้ Martech ในอนาคตด้วยที่จะเริ่มมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งแต่ละแบรนด์ แต่ละอุตสาหกรรมก็ต้องพิจารณาว่าบริการแบบไหนจะเหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น Martech ด้าน CRM ที่ปัจจุบันมีบริการที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเช่น Veeva ที่เหมาะกับอุตสาหกรรมด้าน Healthcare มากกว่า หรือหากจะบริหารจัดการ CRM ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ก็ต้องใช้ Hootsuite จึงจะเหมาะสมมากกว่าเป็นต้น
ใช้ MARTECH อย่างไรให้สำเร็จ?
ซีอีโอ Content SHIFU เล่าด้วยว่าหากแบรนด์หรือองค์กรต้องการนำ Martech มาใช้ให้ประสบความสำเร็จได้นั้นจำเป็นจะต้องร่วมมือกับอีก 2 ส่วนก็คือ Martech Company ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและ Consultans บริษัทที่ปรึกษาหรือเอเจนซี ที่มีประสบการณ์ในหลากหลายอุตสาหกรรมมี Use Case และ Best Practice ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ เนื่องจากหากร่วมมือกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงอย่างเดียวก็จะเกิดปัญหาขึ้นได้
ยกตัวอย่างเช่นหากแบรนด์ร่วมกับ Martech Company เท่านั้นก็อาจขาดคนช่วยลงมือทำให้เกิดผลรวมไปถึงจะขาด Commitment ในการนำ Martech นั้นๆมาใช้ หรืออีกกรณี หากแบรนด์ ร่วมมือกับแค่ Consultants ก็จะขาดเทคโนโลยี อาจต้องทำงานแบบ manual work ที่ไม่ได้ผลจริงและยากที่จะแก้ปัญหาหรือทำให้เกิดผลลัพท์ที่ต้องการได้นั่นเอง
Martech Connector คืออะไร?
พอจะเห็นภาพบ้างแล้วว่า Martech ในตลาดนั้นมีบริการอยู่มากมายหลายหมวดหมู่ และปัจจุบันหลายแบรนด์ไม่ได้นำ Martech เพียงตัวเดียวมาใช้ในการทำธุรกิจ ดังนั้นสิ่งสำคัญมากยิ่งขึ้นไปกว่าการมี Martech มาใช้งานก็คือการที่ทำให้ข้อมูลของแบรนด์เชื่อมโยงกันในทุกบริการ Martech ที่นำมาใช้ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อแบรนด์ได้ Leads หรือคนที่อาจกลายมาเป็นลูกค้าของคุณจากเว็บไซต์ ก็ควรจะต้องเชื่อมโยง (connect) ข้อมูลเหล่านี้กับ Martech อื่นๆที่มีอยู่อย่างเช่น CRM ได้ในทันทีเพื่อนำไปทำ Email Marketing เพื่อ up-sale ต่อได้ในทันที ซึ่งวิธีการ Connect ระหว่าง Martech แต่ละตัวนั้นมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน
- One-way Push – ยกตัวอย่างเช่นการเชื่อมโยง e-commerce ไปสู่ CRM ที่มีข้อมูลการซื้อของลูกค้าที่เชื่อมโยงกับระบบ CRM ได้ทันที สามารถส่งอีเมล์ขอบคุณหรือ Up-Sale ต่อได้ทันที ซึ่งจะดีกว่ารอให้หมดวันแล้วย้ายข้อมูลจาก e-commerce มายัง CRM แบบ Manual ที่ไม่ทันกับตลาดและความต้องการของลูกค้าไปแล้ว
- Two way sync – เป็นระบบที่คุณแบงก์ระบุว่าจะสำคัญมากขึ้นและเป็นเทรนด์ที่กำลังมาในไทยก็คือ ข้อมูลทุกอย่างจะต้องมาเชื่อมกันในทุกทิศทางเช่น แบรนด์มี “เว็บไซต์” มี “แอปพลิเคชั่น” มี “CRM” รวมถึงมีระบบ “ERP” วันหนึ่งลูกค้าเข้าเว็บแล้วเปลี่ยนข้อมูลอีเมล์ของตัวเอง และลูกค้าอีกคนโทรเปลี่ยน “ที่อยู่” กับ Call Center ที่ใช้ระบบ CRM หากมีการเชื่อมโยงแบบ Two Way sync แล้ว ข้อมูลอีเมล์ และ ที่อยู่ ของลูกค้าทั้งสองคนทั้งในเว็บไซต์ แอปพลิเคชั่น CRM และ ERP จะต้อง “อัพเดท” เป็นข้อมูลใหม่ทั้งหมดพร้อมๆกันในทันทีนั่นเอง
Martech ใช้งบประมาณเท่าไหร่?
สัดส่วนการใช้ Martech จากงบการตลาดจากกลุ่มตัวอย่าง ส่วนมากอยู่ที่ 10-20% ของงบการตลาดทั้งหมด หมายถึงหากใช้งบการตลาด 1,000,000 บาทในจำนวนนั้นจะเป็นงบที่ใช้ไปกับ Martech 1-200,000 บาทและยังพบด้วยว่ากลุ่มตัวอย่างสัดส่วน 77% บอกว่างบในส่วนของ Martech ในปี 2023 นี้จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งข้อมูลนี้แบรนด์ต่างๆก็สามารถนำไปใช้ประกอบการพิจารณาได้ว่าปัจจุบันงบที่ใช้ไปกับ Martech นั้นมากหรือน้อยเมื่อเทียบกับแบรนด์ส่วนใหญ่
โดยสรุปแล้วนับจากนี้ไป Martech จะสำคัญกับแบรนด์และองค์กรมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และเป็นอีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอีกขั้นที่จะมาช่วยให้การทำการตลาดในยุคนี้ง่ายและแม่นยำมากยิ่งขึ้น และสิ่งที่ต้องย้ำก็คือ Martech จำเป็นที่จะต้องใช้มนุษย์ที่มีความเข้าใจเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับองค์กร แต่หากไม่มีความเชี่ยวชาญก็สามารถหาบริษัทที่ปรึกษาเข้ามาช่วย implement ให้กับองค์กรได้เช่นเดียวกัน
สำหรับรายงาน Thailand Martech Report 2023 สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://contentshifu.com/resource/thailand-martech-report-2023