ที่ผ่านมา AI เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับว่า มีความฉลาดสามารถเรียนรู้ได้ ที่สำคัญยังสามารถคาดการณ์ (Predictive) ได้ค่อนข้างแม่นยำ ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ มากมายเริ่มใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหารูปแบบสินค้าและการให้บริการเพื่อให้ตรงใจผู้บริโภคมากที่สุด และเพื่อหาโอกาสสร้างความภักดี (Loyalty) ที่กลายเป็นที่ต้องการของแบรนด์ในปัจจุบัน
ปัจจุบัน AI ได้ถูกพัฒนาขึ้นไปอีกในรูปแบบของ Generative AI ซึ่งความสามารถของ Generative AI แตกต่างจาก AI ก่อนหน้านี้ เพราะสามารถโต้ตอบสื่อสารกับผู้บริโภคในรูปแบบภาษาที่เป็นธรรมชาติและสามารถสร้างข้อมูลใหม่ ด้วยการใช้ข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลที่อยู่ในระบบอินเตอร์เน็ตผ่านรูปแบบตัวหนังสือ และพัฒนาต่อเนื่องไปสู่รูปแบบการสื่อสารอื่นอย่าง รูปภาพ วิดีโอและเสียง เป็นต้น
ความกังวลต่อความปลอดภัย
ความสามารถที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องของ Generative AI เข้าไปสะดุดตาของหลายๆ องค์กร จนมีการนำมาพัฒนาและปรับปรุงเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละธุรกิจ แต่เพราะ Gnerative AI ที่เปิดให้ใช้งานส่วนใหญ่เป็นรูปแบบสาธารณะ (Public) ทำให้ข้อมูลหลายๆ อย่างที่ถูกใช้ในการ Input และผลลัพธ์ที่ได้ในรูปแบบ Output อาจเผยแพร่สู่สาธารณะ
นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจที่ผิดหลายประการเกี่ยวกับ Generative AI ซึ่งหลายธุรกิจมองว่า เป็นเทคโนโลยีที่มีความฉลาดใกล้เคียงกับมนุษย์ ถึงขนาดที่หลายคนเริ่มหวั่นเกรงภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้น จากการพัฒนาเทคโนโลยี Generative AI ซึ่งหนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยี Generative AI ระดับโลกอย่าง Google Cloud มีการประชุมมากมายกับองค์กรต่างๆ เพื่อนำเสนิวิธีที่ธุรกิจจะสามารถนำ Generative AI เทคโนโลยีมาใช้และต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงการให้ข้อมูลที่ถูกต้องในเรื่องของเทคโนโลยี Generative AI ที่กำลังสร้างกระแสความน่าตื่นตาตื่นใจให้กับธุรกิจ จนข้อมูลที่เข้าใจผิดเหล่านั้นอาจนำพาไปสู่การตื่นเต้นเกินจริง ซึ่งปัจจุบันแบ่งความเข้าใจผิดเรื่อง Generative AI ออกไปเป็น 5 เรื่องหลักๆ ที่ Google Cloud ได้มีการแก้ไขควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับธุรกิจต่างๆ
ผิดที่เชื่อว่า AI ระบบเดียวทำได้ทุกอย่าง
ที่ผ่านมาเราได้รู้จักกับรูปแบบ Generative AI แบบ Large Language Models (LLM) หรือการสื่อสารหาข้อมูลกับระบบ Generative AI ผ่านตัวอักษร ซึ่งหลายธุรกิจมักจะเข้าใจว่า Generative AI มีแต่รูปแบบตัวอักษรเท่านั้น และทำให้ธุรกิจเข้าใจผิดว่า Generative AI รูปแบบตัวอักษรสามารถใช้งานกับทุกๆ งานได้ทั้งหมด ถือเป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างมากในเรื่องของ Generative AI
เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยี Generative AI มีความหลากหลาย ทั้งรูปภาพ วิดีโอและเสียง ด้วยความหลากหลายรูปแบบการทำงานของ Generative AI ทำให้ธุรกิจต้องเลือกรูปแบบการทำงานของ Generative AI ที่เหมาะสมกับธุรกิจ เพื่อให้เกิดการใช้งานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด บางรูปแบบเหมาะกับงานที่ต้องใช้ในการสรุป บางรูปแบบควรใช้ในการให้เหตุผล ธุรกิจจึงควรพิจารณาเลือกใช้รูปแบบที่เหมาะกับงานแต่ละประเภท
ผิดที่เชื่อว่าใช้งาน AI ครอบคลุมย่อมดีกว่า
ก่อนอื่นธุรกิจต้องทราบก่อนว่า เทคโนโลยี Generative AI แต่ละรูปแบบจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์จำนวนมากในการประมวลผล นั่นหมายความว่าหากใช้ Generative AI หลายรูปแบบก็มีความต้องการใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล ซึ่งหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป แนวคิดการใช้ Generative AI ให้ครอบคลุมจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างมาก เพราะหากเป็นองค์กรใหญ่ที่มีต้นทุนจำนวนมาก แนวคิดดังกล่าวอาจไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล
แต่หลายธุรกิจยังคงมีความกังวลในเรื่องต้นทุน ดังนั้นการเลือกใช้รูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการทำงานของแต่ละธุรกิจ จะช่วยให้ธุรกิจประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่าย และยังได้รับประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่จากการใช้งาน Generative AI ยกตัวอย่างเช่น การรายงานผลยอดขายของไตรมาส ไม่จำเป็นต้องใช้ Generative AI ด้านเสียง แต่ควรใช้ Generative AI ด้านรูปภาพมากกว่า ช่วยให้เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
ผิดที่เชื่อว่าการใช้ AI ไม่มีรั่วไหล
หลายครั้งที่การใช้ Generative AI เป็นแบบ 1 ต่อ 1 หรือเป็นการใช้ระหว่างธุรกิจกับตัวระบบทำให้ข้อมูลไม่มีวันรั่วไหล ซึ่งแนวคิดนี้อาจจะผิดอย่างมาก เพราะด้วยไลฟ์สไตล์การทำงานในปัจจุบันที่เป็นแบบ BYOD (Bring Your Own Device) และ BYOA (Bring Your Own App) โอกาสที่ข้อมูลจะรั่วไหลออกสู่ระบบภายนอกจึงยังมีอยู่ รวมถึงการใช้งาน Generative AI ในรูปแบบ Public ก็มีโอกาสรั่วไหลเช่นกัน
นอกจากนี้ Generative AI บางอย่างยังถูกออกแบบมาให้ใช้งานในแบบ Public ซึ่งการถามคำถามและผลลัพธ์ที่ได้อาจถูกเปิดเผยและถูกนำไปวิเคราะห์จนอาจก่อให้เกิดความลับธุรกิจรั่วไหลได้ เช่น การสอบถามวิธีการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท A และ B อาจทำให้ข้อมูลการควบรวมกิจการดังกล่าวรั่วไหลได้ เป็นต้น ซึ่งหนึ่งในวิธีแก้ปัญหาคือการเลือก Generative AI แบบ Private อย่าง Google Cloud
ผิดที่เชื่อว่า AI ตอบเรื่องจริงทั้งหมด
หลายครั้งที่มีการใช้ Generative AI ในการหาคำตอบ ส่วนใหญ่มักจะเชื่อว่าคำตอบที่ได้เป็นเรื่องจริง เนื่องจากอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า Generative AI ใช้ฐานข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตผ่านการประมวลผลด้วยอัลกอริทึ่มที่ซับซ้อน จนได้ออกมาเป็นคำตอบ แต่จริงๆ แล้วความแม่นยำและความน่าเชื่อถือเป็นหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเทคโนโลยี Generative AI ในบางกรณี Generative AI ก็ไม่สามารถหาคำตอบที่เป็นจริงได้
นั่นจึงทำให้หลายธุรกิจที่ให้บริการ Generative AI แบบ Private จำเป็นต้องมีการลงทุนอย่างสูงในการวางระบบกรั่นกรองข้อเท็จจริงและข้อมูลที่สามารถพิสูจน์ได้ ทั้งนี้เทคโนโลยี Generative AI ที่เป็นแบบสาธารณะ (Public) ส่วนใหญ่จะยังไม่มีการลงทุนในด้านการกลั่นกรองข้อมูลต่างๆ หากธุรกิจที่ใช้ Generative AI แบบสาธารณะ (Public) แล้วเชื่อว่าข้อมูลเหล่านั้นถูกต้องทั้งหมด อาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจได้
ผิดที่เชื่อว่า AI ตอบได้ทุกคำถาม
หลายครั้งที่เชื่อว่า AI สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์เพื่อนำมาสู่ทุกคำตอบที่ต้องการถาม นั่นอาจจะเป็นเรื่องจริงที่ AI สามารถตอบได้ทุกคำถาม แต่มีข้อแม้ว่าต้องอยู่บนปัจจัยที่ AI มีข้อมูลมากเพียงพอที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์ ยกตัวอย่างเช่น โอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทย ซึ่ง AI จะคำนวนหาค่าความน่าจะเป็นจากการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศอื่นรอบๆ ประเทศไทย รวมไปถึงสิ่งบ่งบอกที่มีแนวโน้มอาจเกิดขึ้นได้
แต่ในความเป็นจริง ยังมีข้อมูลอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถถูกเปิดเผยได้ เช่น กลยุทธ์ของธุรกิจ ราคาต้นทุน ทรัพยากรบุคคล การเงิน เป็นต้น หรือแม้แต่ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกกฎหมายป้องกันไว้ไม่ให้เผยแพร่สู่สาธารณะ ดังนั้นการประมวลผลของ AI จึงจำเป็นต้องใช้ข้อมูลหลายๆ ชุดมาประมวลผล ซึ่งก็ต้องย้อนกลับไปข้อที่ผ่านมาว่า แม้จะได้คำตอบมาแต่คำตอบเหล่านั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมดหรือไม่
ก้าวไปสู่อนาคต Generative AI
เพื่อให้การใช้งาน AI ในเชิงธุรกิจเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด Google Cloud ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีและระบบ Generative AI (Base on Cloud) จึงได้มุ่งต่อยอดประสบการณ์เชิงลึกและความเชี่ยวชาญด้าน AI และมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับอุตสาหกรรมที่กว้างขึ้นเพื่อพัฒนาการเข้าถึงความน่าเชื่อถือและความรับผิดชอบด้านนวัตกรรม AI ที่พร้อมสำหรับทุกธุรกิจองค์กร
ในขณะที่หลายธุรกิจเริ่มเล็งเห็นแล้วว่า Generative AI สามารถช่วยให้ธุรกิจสามารถบรรลุผลลัพธ์ได้ในเชิงบวกอย่างไร สิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งคือการแยกแยะความแตกต่างระหว่างการโฆษณาเกินจริงและความเป็นจริงของเทคโนโลยี Generative AI โดยธุรกิจและองค์กรต่างๆ ควรปรึกษาและเลือกหาพันธมิตรที่เหมาะสม เพื่อนำเทคโนโลยีไปใช้อย่างปลอดภัย ที่จะสามารถคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล แอปพลิเคชัน และผู้ใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ