บทบาทของ Internet of Things (IoT) เริ่มมีผลต่อชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่สมาร์ทโฟน สมาร์ตวอชหรือแทบเล็ท แต่ต่อไปนี้ทุกอย่างมันทำงานได้ด้วยตัวมันเอง ของให้เรามีแค่ Internet รอบๆตัวก็พอ ถึงขนาดมีการทำนายว่าปี 2020 จะมียานพาหนะ 250,000 คันสามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ดได้
IoT เริ่มออกมาเป็นรูปธรรมเมื่อ 2 ปีที่แล้วเช่น Google Home ที่เป็นเครื่องเสียงสั่งการอุปกรณ์ตัวอื่นให้ทำหรือหยุดทำงาน มี AI อย่าง Google Assistant คอยประมวลผลและทำนายลักษณะการใช้งานอุปกรณ์ของคนๆนั้น
แล้ว Internet of Things คืออะไร?
Internet of Things (IoT) คือเครือข่ายของอุปกรณ์ สิ่งของอื่นๆ แม้แต่สิ่งปลูกสร้างที่ฝังเซ็นเซอร์ วงจรอิเลคทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ไว้เพื่อเก็บบันทึกและแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ พูดอีกอย่างก็คือในอนาคตเราจะไม่ได้เห็นสิ่งของเป็นแค่วัตถุธรรมดาแต่มันเก็บข้อมูลการใช้งานของเราและส่งข้อมูลนั้นไปยังวัตถุอื่นๆผ่านอินเตอร์เน็ตได้ด้วย
IoT ทำอะไรได้?
1. สังเกตการณ์ (Monitor)
ตัวเซนเซอร์และแหล่งข้อมูลภายนอกทำให้เราสามารถดูสภาพของตัวอุปกรณ์ สภาพแวดล้อม สถานะการใช้งาน และยังแจ้งเตือนเมื่อมีอะไรเปลี่ยนแปลงด้วย
2. ควบคุม (Control)
ซอฟท์แวร์ที่อยู่ในตัวอุปกรณ์หรืออยู่ในคลาวน์ของอุปกรณ์สามารถควบคุมฟังก์ชั่นการใช้งานของอุปกรณ์ และปรับให้เข้ากับประสบการณ์เฉพาะของแต่ละคนได้ (Personalisation of User Experience)
3. เพิ่มประสิทธิภาพ (Optimise)
ความสามารถในการสังเกตการณ์และควบคุมของ IoT ทำให้อัลกอริธึ่มให้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของอุปกรณ์ ประมวลผลข้อมูล ทำนายและปรับเปลี่ยนฟังก์ชันเพื่อนการใช้งานล่วงหน้าได้ด้วย
4. ทำงานได้อัตโนมัติ (Autonomy)
ความสามารถทั้งสามอย่างที่ว่ามาจะทำให้อุปกรณ์ทำงานได้ด้วยตัวมันเอง วิเคราะห์การใช้งานได้เอง ปรับการใช้งานให้เข้ากับพฤติกรรมการใช้งานของคนใช้ได้เอง พร้อมประสานงานกับอุปกรณ์ตัวอื่นๆได้เอง
Internet of Things: ตัวพลิกเกมธุรกิจในอนาคต
ที่ IoT เปลี่ยนโฉมในการทำธุรกิจได้ไม่ใช่แค่เพราะความสามารถในการเก็บบันทึกแต่ยังแลกเปลี่ยนข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอีกอุปกรณ์ เมื่อเกิดพฤติกรรมการใช้งาน เซ็นเซอร์ก็จะเก็บข้อมูล ณ แหล่งข้อมูลทันที นี่คือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นถ้า IoT เข้ามามีบทบาทต่อการทำธุรกิจ
1. คนซื้ออาจต่อรองราคากับคนขาย IoT ได้ยากขึ้น
อุปกรณ์หรือสินค้าหลายๆอย่างที่คุณสมบัติแทบจะคล้ายกันจนต้องแข่งกันตัดราคาหรือทำโปรโมชั่นอาจจะได้เห็นน้อยลงถ้า IoT เข้ามา คนขายไม่ใช่ขายแค่ตัวอุปกรณ์แต่ขายตัวเครือข่ายของอุปกรณ์หลายๆตัวพ่วงเข้าไปได้ด้วย
2. ธุรกิจสามารถเสนอกลุ่มอุปกรณ์ IoT ที่แตกต่างจากคู่แข่งได้
นี่ยังไม่นับรวมบริการเสริมเข้าไปอีก อย่างบริษัท Babolat ที่ทำไม้แบตมินตันขาย ก็หันมาใส่เซ็นเซอร์และติดตั้งเครือข่ายสัญญาณไว้ที่ด้ามจับและลูกบอลเพื่อเก็บข้อมูลว่าตีบอลเร็วแค่ไหน สปินไปแบบไหน แล้วมันก็จะรายงานข้อมูลทั้งหมดบนสมาร์ทโฟน
3. คู่แข่งหน้าใหม่ๆก็เข้ามาได้ยากขึ้น
เพราะต้องมาเจอต้นทุนการผลิตและออกแบบอุปกรณ์ที่สูงลิบลิ่ว เทคโนโลยีที่ต้องติดกับอุปกรณ์ พวกธุรกิจที่มีทุนเยอะและมีข้อมูลการใช้งานของลูกค้าเยอะยิ่งได้เปรียบกว่าคู่แข่งหน้าใหม่ๆ ไหนจะต้องให้ชัวร์ว่า IoT ที่ตัวเองขายทำงานเข้ากับ 5G ได้อย่างเสถียรในอนาคตอีก
4. สินค้าทดแทน IoT มีแน่นอน
ถ้าธุรกิจไหนเสนอ IoT ที่มีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า หรือเก็บข้อมูลได้มากกว่าก็ทดแทน IoT ที่ทำได้น้อยกว่าเช่น IoT ของ FitBit ที่เก็บข้อมูลสุขภาพทั้งหมดรวมไปถึงระดับการทำกิจกรรมแม้กระทั่งการนอนก็สามารถทนแทน Smart Watch ธรรมดาได้เลย
5. พวกซัพพลายเออร์ที่ผลิตแต่ตัวอุปกรณ์อาจมีอำนาจต่อรองน้อยลง
เพราะ IoT มีคุณค่ามากกว่าตัวอุปกรณ์ ทั้งในเรื่องของการเก็บและและเปลี่ยนข้อมูล ซอฟท์แวร์ที่ติดตั้งในตัวอุปกรณ์สามารถตัดฟีเจอร์ไม่จำเป็นบางอย่างของตัวอุปกรณ์ไปได้ เช่นในอนาคตเซนเซอร์ของคอมพิวเตอร์อาจจะทำให้ไม่ต้องมีแป้นคีย์บอร์ดก็ได้ ธุรกิจที่ผลิตคีย์บอร์ดอาจจะงานเข้าเพราะ IoT ก็ได้ คิดว่าวงการอื่นก็อาจจะเจอปัญหาทำนองนี้เหมือนกัน
ฉะนั้นเราอาจจะต้องกลับมาทบทวนว่าถ้า IoT เข้ามาเป็นรูปธรรมมากขึ้น เราจะสร้างและรักษาคุณค่าใหม่ๆจาก IoT ได้อย่างไร เราจะต้องทำงานกับพาร์ทเนอร์ทั้งเก่าและใหม่อย่างไร และเราจะรักษาความได้เปรียบเหนือคู่แข่งไว้ได้อย่างไร เช่นในส่วนของการตลาด เราสามารถเอาข้อมูลที่เก็บจากอุปกรณ์ที่ลูกค้าซื้อไป เอาไปทำแคมเปญตลาด เจาะแบ่งประเภทกลุ่มผู้บริโภคได้ไม่ยากเลย
เพราะสุดท้าย ยุคนี้ใครมีและใช้ข้อมูลเป็นก็ได้เปรียบกว่าคู่แข่งครับ
แหล่งอ้างอิง
https://hbr.org/2014/11/how-smart-connected-products-are-transforming-competition