ปัญหาหนึ่งที่วงการ Digital Marketing ไทยจะต้องเจอในอนาคตแน่ ๆ คือการต้องเจอกับการที่ผู้บริโภครุ่นใหม่นั้นใช้ Ad Blocking ในการปิดกั้นโฆษณาออนไลน์ทั้งหมดออกมา ซึ่งนี้เป็นปัญหาอย่างมากในต่างประเทศเพราะทำให้นักการตลาดสื่อสารไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายและสื่อทั้งหลายก็ไม่ได้ค่าลงโฆษณาต่าง ๆ ตามมาด้วย โดยปัญหา Ad Blocker นั้นเพิ่งมารุ่นแรงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ หลังจากการทำ Digital Advertising ที่รุ่งเรื่องอย่างมากในระยะเวลาที่ผ่านมา จนทำให้โฆษณาต่าง ๆ เพิ่มมา มากมายและทำกันจนเลยขอบเขตความพอดีออกไป
กลไกการทำงานของ Ad Blocking คือการกรอง ปิดกั้น เปลี่ยนแปลงกระบวนการแสดงโฆษณาประเภท Banner ออกไปจากยังหน้าเว็บไซต์ และ Mobile app ต่าง ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับ Ads ที่ผู้บริโภครู้สึกว่า เป็น Ads ที่รุกราน เช่นพวก pop up, Ads ที่รบกวน เช่น โฆษณาที่มีเล่นเสียงอัตโนมัติ, ไม่ปลอดภัย เช่น Ads ที่ไม่ปลอดภัยต่าง ๆ และ Ads ที่กินเวลา เช่น Ads ที่ทำให้เว็บไซต์โหลดนานขึ้น ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำ Ad Blocker นั้นกลายเป็นที่นิยมอย่างมาก
เมื่อตอนที่ Ads Blocker ออกมา ยังไม่มีใครคิดว่าจะมีผลกระทบต่อวงการสื่อและโฆษณาถึงขนาดนี้ แต่พอปี 2016 ผลกระทบเริ่มเห็นมาได้เด่นชัด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตสื่อที่โดนผลกระทบนี้ที่โฆษณานั้นไม่ถูกเห็นและรายได้ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ผลิตสื่อจึงต้องสร้างทางแก้ด้วยการทำ Paying Wall ขึ้นมา หรือทำระบบที่ปิดกั้น Ad Blocker อีกทีนึง จนถึงขอร้องให้ผู้อ่านนั้นยอมเห็นโฆษณาเพื่อสร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตสื่อบ้าง ทั้งนี้พวกนี้คือการแก้ปัญหาในปลายทางทั้งนั้น เพราะการแสดงผลโฆษณานั้นก็ยังไม่ถูกแก้ลงอย่างดัดขาด
แล้วทางแก้คืออะไร
ทางแก้ที่เด่นชัดคือ การปล่อยให้ Ad Blocker นั้นเกิดขึ้นไป เพราะสื่อเองคงตามเทคโนโลยีเหล่านี้หรือป้องกันอย่างไรก็คงยากแน่ ๆ ยิ่งไปบอกผู้บริโภคหรือบังคับผู้บริโภคนั้นเลิกใช้นั้น ยิ่งทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจมากขึ้นไปอีก แต่ทางแก้ที่ดีกว่านั้นคือ การที่สื่อต้องไปคุยกับนักการตลาดและนักการตลาดนั้นต้องปรับตัวในการทำโฆษณานั้นขึ้นมา นอกจากนี้เรายังควรมองการมาถึง Ad Blocker นั้นเป็นโอกาสอย่างมาก ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในวงการขึ้นมา เพราะความเละเทะของระบบการทำงาน Digital Advertising นั้นมีปัญหาที่สะสมมาหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น
1. Impression ที่ไม่จริง Digital Advertising ให้ผล Impression ที่ผิด ด้วยการใช้ Impression มานานในการนับผลโฆษณา สิ่งหนึ่งที่นักการตลาดเจอคือการที่ไม่ได้ดูไส้ในของ Impression นั้น ๆ ว่ามาจากไหน ซึ่งบางทีมาจาก Server Farm ที่ทำให้เกิดการยิงโฆษณามาจนนับโฆษณามากมาย
2. ทำให้ผู้บริโภครำคาญจน Bounce Rate สูง เมื่อเข้าเว็บไซต์มาเจอโฆษณาที่หน่วงเว็บไซต์มาก ๆ หรือเจอโฆษณาที่น่ารำคาญ ก็จะทำให้หนีออกจากเว็บไซต์นั้นทันที ทำให้คนไม่อยากเข้ามาอีกเพื่อเจออะไรน่ารำคาญแบบนี้ ลองนึกถึงเวลาจะดูคลิปใน Youtube และเจอโฆษณาน่ารำคาญเรายังไม่อยากดูเลย
3. ทำให้เกิดโฆษณาคุณภาพต่ำมากมาย สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในวงการ Digital Advertising ที่ผ่านมาคือการที่ไม่มีใครควบคุม ทำให้เกิดการสรา้งโฆษณามากมาย โดยที่ไม่ได้นึกถึงใจของผู้บริโภคที่ต้องเข้ามายังเว็บไซต์เหล่านั้นว่าจะรำคาญในโฆษณานั้นมากแค่ไหน
ทั้งนี้ Ad blocker ช่วยให้เกิดการบังคับวงการที่ต้องปรับเปลี่ยนอย่างทันที ด้วยการใช้โมเดลใหม่ที่ดีขึ้นในการนับผลการเห็นโฆษณาไม่ว่าจะเป็น Viewability หรืออื่น ๆ แต่สิ่งสำคัญคือการที่ผู้ผลิตสื่อและแบรนด์ได้ตื่นตัวจนบังคับให้คนทำโฆษณาออนไลน์นั้นต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดการทำโฆษณาออนไลน์ จากการที่ทำ โฆษณาออกมาแบบการทำขายโดยผู้บริโภคไม่ได้ประโยชน์อะไร ก็ต้องกลับมาสู่พื้นฐานของการทำการตลาดคือ การให้คุณค่าของผู้บริโภคขึ้นมา สิ่งที่นักการตลาดควรทำในยุคนี้ คือต้องสร้างความเข้าใจและเข้าใจความคิดของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นว่าต้องการอะไร และอยากได้อะไรออกมา สิ่งที่เราจะทำการสื่อสารทางการตลาดออกไปให้ผู้บริโภคนั้นมีคุณค่าอะไรต่อผู้บริโภคไหม หรือจะช่วยให้ผู้บริโภคไปคิดต่อ จินตนาการต่อ รวมทั้งทำให้ผู้บริโภคสนใจได้อย่างไร ซึ่งนี้เป็นโอกาสอันดีของวงการครีเอทีฟ ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์มากมาย ที่จะเข้ามาแก้ปัญหานี้ในทางสร้างสรรค์ ขึ้นมา
Ad Blocker นั้นเรียกได้ว่าเป็นกลไกที่ดีที่จะคัดนักการตลาดที่ดี ออกมาจากนักการตลาดที่ทำการตลาดแย่ ๆ โดยไม่ได้สนใจผู้บริโภค สิ่งหนึ่งที่นักการตลาดต้องคิดมากกว่าการทำให้ผู้บริโภครับรู้ คือการทำให้ผู้บริโภคมีความสุขในการใช้งานเว็บไซต์ที่กำลังดูอยู่แค่ไหนอีกด้วย