สหรัฐอเมริกา-จีน เปิดศึกกันครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่งัดข้อกันในประเด็นสงครามการค้า และล่าสุดที่ความขัดแย้งนี้กระทบลามไปยัง WeChat และ TikTok แพลตฟอร์มสื่อโซเชียลจาก ByteDance บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่ง ‘ห้าม’ ไม่ให้บุคคลหรือบริษัทอเมริกันทำธุรกรรมใดๆ กับบริษัท ByteDance โดยจะมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ในวันที่ 20 ก.ย.ที่จะถึงนี้
การลงนามดังกล่าว สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า แม้ว่าบริษัท Microsoft จะรับหน้าที่ดูแล Data ทั้งหมดในสหรัฐฯ เพื่อไม่ให้ไปขัดต่อระเบียบและกฎหมายของทำเนียบขาว แต่ก็เฟลไม่เป็นท่าเพราะไม่มีผลต่อการตัดสินใจใดๆ ของผู้นำสหรัฐฯ โดยอ้างว่าเป็นความไม่ปลอดภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ขณะที่ผู้ใช้ TikTok ในสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียวมีมากถึง 1,000 ล้านราย
ทั้งนี้ ความขัดแย้งโดยอ้างเรื่องไซเบอร์ แอทแทค (Cyber Attacks) นี้ สหรัฐฯ ไม่ใช่รายแรกที่ประกาศแบนแอพฯ TikTok เพราะประเทศที่นำร่องแอพฯ นี้จริงๆ นั่นคือ ‘อินเดีย’ ซึ่งเป็นประเทศปฏิปักษ์ของจีนมานาน โดยเฉพาะจากปัญหาเรื่องแบ่งแย่งพรมแดนบนเทือกเขาหิมาลัย
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายประเทศ อย่างเช่น ญี่ปุ่น (พันธมิตรที่เหนียวแน่นของสหรัฐฯ) และ ออสเตรเลีย (พันธมิตรหน้าใหม่) ที่ทำท่าว่าจะแบนตามเพื่อนรักอย่างสหรัฐฯ โดยที่ผ่านมาได้ประกาศข่มขู่รัฐบาลจีน และเปรยว่ากำลังพิจารณาการแบนแอพฯ TikTok ด้วยเช่นกัน
ความน่าสนใจอยู่ตรงนี้ ใครได้ประโยชน์หรือได้อานิสงส์จากการที่ TikTok ถูกแบนครั้งนี้? คำตอบก็คือ ผู้ให้บริการ VPN (Virtual Private Network) ซึ่งเป็นเครือข่ายเสมือนจริง
VPN คืออะไร?
VPN (Virtual Private Network) คือ เครือข่ายเสมือนจริง ที่จะสร้างการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยระหว่างโทรศัพท์ของเรากับอินเทอร์เน็ต โดยเราสามารถใช้ VPN ได้โดยที่ไม่ต้องระบุตัวตน – ช่วยป้องกันการสอดแนม – ปลดบล็อกเว็บไซต์ที่ถูกแบนและใช้งานได้อย่างอิสระ
อุปสรรคของ VPN คืออะไร?
ส่วนอุปสรรคของการใช้ VPN คงเป็นความไม่เสถียรของอินเทอร์เน็ต เพราะบางทีสัญญาณอาจจะขาด หรือการเชื่อมต่อไม่ stable ซึ่งเราจำเป็นต้องเข้าระบบ VPN ใหม่ทุกครั้งที่อินเทอร์เน็ตขาดการเชื่อมต่อนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมี บางเว็บไซต์ที่ปิดกั้น VPN เช่น Netflix ที่สามารถตรวจจับได้เมื่อคุณใช้ VPN และปิดกั้นไม่ให้คุณเข้ามาใช้บริการ รวมไปถึง ผู้ให้บริการ VPN อาจเก็บข้อมูลการใช้งานของคุณไว้ เนื่องจากข้อมูลของคุณต้องดำเนินการผ่านเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการ VPN เป็นต้น
ดีมานด์ VPN เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
Harold Li’ รองประธานของ ExpressVPN ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ VPN ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน บอกว่า “การเติบโตของ VPN จะมากขึ้นตามดีมานด์ผู้ใช้ทั่วโลก หลังจากที่รัฐบาลของหลายๆ ประเทศประกาศแบนแอพฯ จีน และกำลังพิจารณาแบนตามด้วย”
ทั้งนี้ บริษัทเชื่อว่าจะสามารถรองรับกับความต้องการของผู้ค้าได้ โดยในปัจจุบันมีเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการอยู่มากกว่า 3,000 แห่งใน 94 ประเทศ
ทั้งนี้ เว็บไซต์ ExpressVPN มีจำนวนการเยี่ยมชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น 10% ต่อสัปดาห์ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศเตรียมแบน TikTok สำหรับในตลาด ‘ญี่ปุ่น – ออสเตรเลีย’ จำนวนการเข้าใช้งาน VPN เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันที่ 19% และ 40% ตามลำดับ ส่วนในอินเดียอัตราการเข้าใช้งานเพิ่มขึ้น 22% และฮ่องกงที่ 10%
ที่มา : techcrunch