เชื่อว่าวินาทีนี้หนึ่งในเทรนด์อาหารมาแรง ต้องยกให้กับ “ปรากฏการณ์หม่าล่าฟีเวอร์” กระแสฮิตที่เกิดขึ้นในไทยช่วง 2 – 3 ปีมานี้ ทั้ง “หม่าล่าสายพาน” และ “บุฟเฟต์หม่าล่า” กลายเป็นบทสนทนา (Conversation) ฮิตบนโซเชียลมีเดีย และติดเทรนด์ Twitter นำไปสู่การตามรอยร้านดังที่มีคนมารีวิว และเกิดปรากฏการณ์ต่อคิวที่ไม่ว่าจะคิวยาวแค่ไหน รอนานเพียงไร ก็ขอให้ได้ check-in และลิ้มรสหม้อไฟหม่าล่า รวมทั้งเมนูหม่าล่าอื่นๆ
จนกลายเป็นเทรนด์กระแสหลักของธุรกิจร้านอาหารในไทย และขึ้นแท่นร้านอาหารร้อนแรงแห่งปี แน่นอนว่าบรรดาร้านอาหารเชนใหญ่ ย่อมไม่พลาดโอกาสของกระแสหม่าล่าฟีเวอร์เช่นกัน!
เห็นได้จากก่อนหน้านี้เชนปิ้งย่าง “บาร์บีคิวพลาซ่า” (Bar B Q Plaza) ส่งเมนู “หม่าล่าไฟลุก” มีทั้งชุดหม่าล่าหมู, ชุดหม่าล่าเนื้อ และไก่ทอดหม่าล่า (จำหน่ายระหว่าง 2 พฤษภาคม – 15 มิถุนายน 2666) เอาใจลูกค้าที่ชื่นชอบ และอยากลองเมนูหม่าล่าปิ้งย่าง
ขณะที่ล่าสุดเริ่มมีร้านอาหารเชนใหญ่ต่างๆ ทยอยเปิดตัวร้านอาหารหม่าล่า เสริมแกร่ง Brand Portfolio ของธุรกิจ เช่น “Minor Food Group” เปิดตัวแบรนด์ใหม่ในไทย “ริเวอร์ไซด์ กริลล์ ฟิช แอนด์ หม่าล่า”, กลุ่ม “YUZU Group” เปิดตัวร้านหม้อไฟจีนหม่าล่า “ต้า เจิ้ง” ขณะเดียวกันร้านสุกี้หม้อไฟยอดนิยมอย่าง “สุกี้ตี๋น้อย” ต่อยอดพัฒนาน้ำซุปหม่าล่าด้วยเช่นกัน เพื่อเอาใจชาวหม่าล่าเลิฟเวอร์ (Mala Lover)
“Minor Food” เดินหน้าขยายร้าน “ริเวอร์ไซด์ กริลล์ ฟิช แอนด์ หม่าล่า”
กลยุทธ์เสริมทัพ Brand Portfolio ธุรกิจร้านอาหารในเครือ “Minor Food Group” (ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป) คือ การขยายโอกาสธุรกิจในฐานะ “Food Explorer” ด้วยการนำแบรนด์ที่มีอยู่ในเครือฯ ทำตลาดในไทย พร้อมกับซื้อแบรนด์ที่มีศักยภาพเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอ (Explore & Acquire)
ปัจจุบัน Minor Food มีแบรนด์กว่า 35 – 36 แบรนด์ทั่วโลก โดยมีแบรนด์หลัก 8 แบรนด์ในไทย ประกอบด้วย
– เดอะ พิซซ่า คอมปะนี (The Pizza Company)
– เบอร์เกอร์ คิง (Burger King)
– บอนชอน (Bonchon)
– ซิซซ์เลอร์ (Sizzler)
– สเวนเซ่นส์ (Swensen’s)
– แดรี่ควีน (Dairy Queen)
– เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club)
– คอฟฟี่ เจอนี่ (Coffee Journey)
นอกจาก 8 แบรนด์หลักแล้ว ยังได้ยังมองหาแบรนด์ในเครือที่ทำตลาดต่างประเทศ นำเข้ามาทำตลาดในไทย โดยเมื่อเดือนกรกฎาคม เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “ริเวอร์ไซด์ กริลล์ ฟิช แอนด์ หม่าล่า” (Riverside Grilled Fish & Mala) ร้านอาหารจีนสไตล์ฉงชิ่ง-เสฉวน ชื่อดังจากประเทศจีนและสิงคโปร์ สู่สาขาแรกในประเทศไทย ตกแต่งร้านในบรรยากาศ Modern Chinese
เจาะฐานกลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อระดับกลาง-สูง ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ครอบคลุมทุกช่วงวัย ทั้งวัยรุ่น คนทำงาน และกลุ่มครอบครัว เน้นความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารจีนสูตรต้นตำรับที่มีรสชาติจัดจ้านเผ็ดร้อนถึงใจ ถูกปากคนไทย ด้วยเมนูอาหารสไตล์ฉงชิ่ง-เสฉวน ขนานแท้ นำร่องสาขาแรกที่ชั้น 6 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
โดยชูเมนูซิกเนเจอร์ “ปลาย่างกระทะร้อนสไตล์ฉงชิ่ง” และไฮไลท์เมนูประจำร้าน “หม่าล่าสูตรต้นตำรับ” ใช้พริกและเครื่องเทศหม่าล่านำเข้าจากฉงชิ่ง โดยลูกค้าสามารถ D.I.Y ได้ตามสไตล์ที่ชอบ เริ่มตั้งแต่การเลือกประเภทของหม่าล่า ระหว่างแบบผัดแห้งและแบบน้ำซุปซดได้ เลือกชนิดของวัตถุดิบ ระดับความเผ็ด และความเข้มข้นของหม่าล่า พร้อมทัพอาหารจีนต้นตำรับกว่า 50 เมนู
ล่าสุดได้ขยายสาขา 2 ในไทยที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 9 เพื่อขยายฐานผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย รองรับกลุ่มคนทำงานทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงนักท่องเที่ยว
เนื่องจากเป็นย่านธุรกิจที่รายล้อมไปด้วยอาคารสำนักงานและบริษัทหลายแห่ง อีกทั้งยังเป็นทำเลด้านไลฟ์สไตล์และความบันเทิงที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มชาวจีนที่พำนักในประเทศไทย
ประกอบกับการเดินทางที่สะดวกสบาย เข้าถึงได้ง่ายทั้งรถยนต์ส่วนตัวและการขนส่งสาธารณะ ทำเลดังกล่าวจึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งการเปิดตัวร้านสาขาใหม่นี้ จะทำให้ริเวอร์ไซด์ กริลล์ ฟิช แอนด์ หม่าล่า มีจำนวนสาขารวมทั้งหมด 151 แห่งทั่วโลก
“ร้านริเวอร์ไซด์ กริลล์ ฟิช แอนด์ หม่าล่า เน้นความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารจีนสูตรต้นตำรับที่มีรสชาติจัดจ้านเผ็ดร้อนถึงใจ ถูกปากคนไทย ด้วยเมนูอาหารสไตล์ฉงชิ่ง–เสฉวน ซึ่งโจทย์สำคัญของการเปิดตัวร้านริเวอร์ไซด์ กริลล์ ฟิช แอนด์หม่าล่า สาขาใหม่ คือการสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ พร้อมตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าให้ได้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่กลุ่มพนักงานบริษัท กลุ่มวัยรุ่น ครอบครัว นักท่องเที่ยว และชาวจีนที่พำนักในประเทศไทย
รวมไปถึงผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารจีนฉงชิ่ง–เสฉวนสูตรต้นตำรับ ในบรรยากาศดี ๆ และราคาเข้าถึงได้ โดยคาดการณ์ว่าสาขาเซ็นทรัล พระราม 9 นี้ จะมีสัดส่วนของผู้มาใช้บริการ แบ่งเป็นคนไทย 70% และต่างชาติ 30%
พร้อมกันนี้ได้เตรียมเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จต่อเนื่องด้วยการเปิดสาขาเพิ่มเติมภายในสิ้นปี 2566 เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคให้ครอบคลุมมากที่สุด โดยเรามั่นใจว่าจะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ร้านอาหารเรือธงในเครือไมเนอร์ ฟู้ด ที่จะตอบโจทย์คนรักอาหารจีน ตลอดจนสามารถครองใจผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างชาติได้เป็นอย่างดี” คุณธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโอกาสของตลาดร้านอาหารจีน และหม่าล่าในไทย
- อ่านเพิ่มเติ่ม: กรณีศึกษา “ไมเนอร์ ฟู้ด” จากเชนร้านอาหารใหญ่ พลิกวิธีคิดแบบ “สตาร์ทอัพ” รุกขยายพอร์ตฯ รับการแข่งขันเดือด-ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเปลี่ยน
“YUZU Group” เปิดตัวร้านหม้อไฟจีน “ต้า เจิ้ง” รับกระแสหม่าล่า – ชิงตลาดหม้อไฟ 2 หมื่นล้าน
“YUZU Group” (ยูซุ กรุ๊ป) เชนร้านอาหารระดับพรีเมียม ปัจจุบันมี 10 แบรนด์ในเครือ ได้แก่ Yuzu Omakase, Yuzu Suki, Yuzu Ramen, Yuzu Sushi Delivery, Yuzu Honey, Thai Thai Boat Noodles, Yuzu Ramen Express, KOGORO Katsu, Chicken Club Thailand ล่าสุดทุ่มงบ 20 ล้านบาท เปิดตัวแบรนด์ใหม่ร้านหม้อไฟ “ต้า เจิ้ง” (DA ZHENG) รับกระแสหม่าล่าฟีเวอร์ในประเทศไทย
โดยชูจุดเด่นมีน้ำซุปให้เลือกถึง 8 แบบ ให้เลือกทานได้ตามสไตล์ที่ชื่นชอบ ได้แก่ ซุปต้าเจิ้งหม่าล่า (DA ZHENG Mala Soup) , ซุปบุษบานมสด (Milk & Floral Soup), ซุปไก่แช่เหล้าจักพรรดิ (Emperor’s Drunken Chicken Soup), ซุปโอสถไก่กระเพาะปลา (Fish Maw & Chicken Elixir Soup), ซุปเห็ดมงคลเจ็ดชนิด (Sacred Seven Mushroom Soup), ซุปคอลลาเจนซี่โครงหมู (Collagen Pork Ribs Soup), ซุปหัวปลาผักกาดดอง (Fish & Pickled Cabbage Soup) และซุปน้ำมะพร้าวสวรรค์ (Heavenly Coconut Clear Soup) นำร่องเปิดสาขาแรกที่สยามสยามแควร์ ซอย 3 ตกแต่งด้วยดีไซน์สไตล์จีนโมเดิร์น
คุณมิน – ปรมินทร์ เปรื่องเมธางกูร Founder & CEO บริษัท ส้มพาสุข จำกัด หรือ YUZU GROUP กล่าวว่า ปี 2566 เป็นปีที่ตลาดร้านอาหารกลับมาคึกคักเป็นอย่างมาก เป็นช่วงที่หลายธุรกิจฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 มีการเปิดประเทศ และเศรษฐกิจมีการเติบโต โดยภาพรวมตลาดร้านอาหารในปี 2565 มีมูลค่าสูงถึง 4.1 แสนล้านบาท ในส่วนของตลาดอาหารหม้อไฟ มีมูลค่า 20,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมาก
เนื่องจากตลาดหม้อไฟจีนเป็นธุรกิจที่มีฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้ว ทั้งคนจีนที่อยู่ในประเทศไทยที่มีอยู่ 2 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มนักลงทุน กับกลุ่มนักท่องเที่ยว รวมถึงยังมีกลุ่มคนไทยที่ชื่นชอบอาหารจีนประเภทหม่าล่าหม้อไฟ ทำให้ตลาดนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา
“YUZU Group มีวิสัยทัศน์ในการขยายร้านอาหารให้ครอบคลุมเซ็กเมนต์ เพื่อปูทางแผนการขยายธุรกิจ และสร้างอัตรากำไรที่แข็งแกร่งทั้งระยะสั้นและระยะยาว รองรับความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม
ในปัจจุบันต้องยอมรับว่ากระแสหม่าล่า หรือหม้อไฟสไตล์จีนได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย YUZU Group จึงจับกระแสความร้อนแรงของตลาด เปิดตัวแบรนด์ต้า เจิ้ง หม้อไฟสไตล์จีนต้นตำรับ เป็นการขยายพอร์ตสู่กลุ่มอาหารจีนเป็นครั้งแรก เพื่อรองรับกับเทรนด์ร้านอาหารแห่งปี”
ทั้งนี้ปัจจุบันเครือ YUZU Group มีจำนวนสาขาในประเทศ 18 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ในต่างประเทศจำนวน 4 สาขา สำหรับแผนธุรกิจในปี 2566 เดินหน้าเร่งขยายสาขาของแบรนด์ในเครือเพิ่มอีกกว่า 10 สาขา จึงคาดการณ์ภายในสิ้นปีนี้ จะมีจำนวนสาขารวม 27 สาขา
“สุกี้ตี๋น้อย” ต่อยอดความสำเร็จ ส่ง “น้ำซุปหม่าล่า” เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า
เป็นเชนร้านหม้อไฟสุกี้มาแรงและเติบโตอย่างก้าวกระโดด สำหรับ “สุกี้ตี๋น้อย” ภายใต้บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) ก่อตั้งโดย คุณเฟิร์น – นัทธมน พิศาลกิจวนิช ในปี 2562 ถึงปัจจุบันมีสาขามากกว่า 40 สาขา โดยสามารถสร้างผลการดำเนินงาน “กำไร” ต่อเนื่องติดต่อกัน แม้แต่ในช่วง COVID-19 ก็ตาม
ปี 2562 รายได้รวม: 499 ล้านบาท / กำไรสุทธิ: 15 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้รวม: 1,223 ล้านบาท / กำไรสุทธิ: 140 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้รวม: 1,572 ล้านบาท / กำไรสุทธิ: 148 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้รวม: 3,976 ล้านบาท / กำไรสุทธิ: 591 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ Jaymart ได้เข้าลงทุนในบริษัท BNN จำนวน 352,941 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 30% มูลค่าลงทุนรวมไม่เกิน 1,200 บาท เพื่อร่วมกันสร้างการเติบโตธุรกิจต่อเนื่อง เดินหน้าขยายสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมทั้งผลักดันแผนการระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ล่าสุดนอกจากน้ำซุปใส – ชุปดำแล้ว “สุกี้ตี๋น้อย” ได้จับกระแสหม่าล่าเช่นกัน โดยเปิดตัว “ซุปหม่าล่าตี๋น้อย” ในรูปแบบซองละ 49 บาท (1 ซอง มีขนาด 100 กรัม) โดยไม่รวมอยู่ในราคาบุฟเฟต์ เพียงลูกค้าฉีกซองผสมน้ำซุปใสสุกี้ตี๋น้อย ก็จะได้เมนูน้ำซุปหม่าล่า เพื่อเพิ่มทางเลือกน้ำซุปมากขึ้น และสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการสุกี้ตี๋น้อย
รู้หรือไม่ ? ปรากฏการณ์ “หม่าล่า” เกิดจากบทสนทนาในโซเชียล ก่อนขยายเป็นเทรนด์ฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง!
เทรนด์ “หม่าล่า” กระแสฮิตที่เกิดขึ้นในไทยช่วง 2 – 3 ปีมานี้ พบว่าเริ่มมีบทสนทนา หรือการพูดถึง “หม่าล่า” ใน “Twitter” หรือ แพลตฟอร์ม X ในปัจจุบัน จนติดเทรนด์ตั้งแต่ช่วง COVID-19 เป็นต้นมาจนถึงวันนี้
โดยเทรนด์หม่าล่าบน Twitter ขยายกลายเป็นปรากฏการณ์หม่าล่า ก่อให้เกิดร้านหม้อไฟหม่าล่ามากมาย ทั้งผู้ประกอบการรายย่อย หรือแม้แต่เชนร้านอาหารรายใหญ่ไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสในเทรนด์ดังกล่าว ด้วยการเปิดร้านอาหารแบรนด์ใหม่ที่มีเมนูหม่าล่าเป็นตัวชูโรง หรือพัฒนาเมนูหมาล่าโดยเฉพาะ
สะท้อนให้เห็นว่าโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดผู้คนเกิดพฤติกรรม “FOMO” (Fear Of Missing Out) คือ กลัวที่ตัวเองจะตกเทรนด์ฮิต หรือตกกระแส กลัวที่ตัวเองจะไม่ทันข่าวร้อนมาแรงที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และอยากจะรู้ – อยากจะแชร์ก่อนใคร จึงทำให้เกาะติด โซเชียลมีเดียตลอดเวลา ซึ่ง Twitter เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มหลักที่ชาว FOMO เข้ามามีปฏิสัมพันธ์อยู่เสมอ ทั้งสร้างบทสนทนา และอัปเดตเทรนด์ที่เกิดขึ้น โดย “บทสนทนา” (Conversation) มีบทบาทต่อผู้บริโภคอย่างมาก
- อ่านเพิ่มเติม: เปิดอินไซต์พลัง “บทสนทนาบน Twitter” สร้างเทรนด์ฮิตโซเชียล ชนะใจผู้บริโภค FOMO ในกลุ่ม Gen Z