Key Insights
- 9 ใน 10 ของผู้ใช้ TikTok ในประเทศไทย มีการซื้อของในช่วงของ Mega Sales และซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ที่เข้มข้นมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี
- นักชอปบน TikTok ใช้จ่ายในช่วงมหกรรม Mega Sales มากกว่านักชอปทั่วไปถึง 1.5 เท่า
- TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้เกิดวงจรการซื้อแบบไม่รู้จบ หรือที่เรียกว่า ‘Infinity Loop’ คือ เกิดการซื้อ ซื้อแล้วนำสินค้าไปรีวิวภายในคอมมิวนิตี จนเกิดการกระตุ้นให้ผู้ชมหน้าใหม่ซื้อ และวนลูปแบบไม่มีที่สิ้นสุด
- Nielsen ระบุว่า 78% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ยกให้คอนเทนต์บน TikTok คือที่สุดแห่งความบันเทิงเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น
Mega Sales มหกรรมลดราคาครั้งสำคัญที่หลายคนรอคอย ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากเทศกาลคนโสด 11.11 แต่ตอนนี้แทบทุกเดือนได้มีการจัดโปรเลขคู่กันแล้ว นั่นแปลว่าธุรกิจและผู้บริโภคให้ความสนใจและมองเห็นถึงความสำคัญของมหกรรมลดราคาแคมเพนเลขคู่ที่ไม่มีไม่ได้แล้ว
TikTok แม้จะถูกระบุให้เป็นแพลตฟอร์มแห่งความคิดสร้างสรรค์และเอนเทอร์เทนเมนต์ แต่ได้มองเห็นความสำคัญของเทศกาลมหกรรมลดราคา และมองเห็นว่า เทศกาล Mega Sales ถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญของวงการอีคอมเมิร์ซที่สร้างแรงกระตุ้นให้การจับจ่าย โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้ายที่มี Mega Sales มหกรรมการลดราคาที่หลายคนรอคอยมากที่สุดในรอบปี
ทั้งนี้ มาดู Insight สำคัญๆ ของผู้บริโภคบน TikTok กัน เริ่มต้นที่ 9 ใน 10 ของผู้ใช้ TikTok ในประเทศไทย มีการซื้อสินค้าในช่วงของ Mega Sales และซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ที่เข้มข้นมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วง 4เดือนสุดท้ายของปี ซึ่งเกิดจากช่วงเทศกาลการโปรโมชั่น 9.9 10.10 11.11 12.12 ที่สำคัญคือ มีประมาณการซื้อที่ค่อยๆ ขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
- เทศกาล 9.9 – ผู้บริโภคซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ 62%
- เทศกาล 10.10 – ผู้บริโภคซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ 58%
- เทศกาล 11.11 – ผู้บริโภคซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ 73%
- เทศกาล 12.12 – ผู้บริโภคซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ 76%
ข้อมูลอีกส่วนที่ยืนยันได้ว่า นักชอปบน TikTok เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อกับมหกรรม Mega Sales โดยระบุว่า ผู้ใช้งานบน TikTok ใช้จ่ายในช่วง Mega Sales มากกว่านักชอปทั่วไปถึง 1.5 เท่า
- 88% ผู้ใชงาน TikTok เฝ้ารอคอยมหกรรม Mega Sales ทุกปี
- 88% ไม่เพียงแค่เฝ้ารอ แต่พร้อมที่จะซื้อไอเทมต่างๆ ที่ตั้งใจซื้อไว้ ผ่านมหกรรม Mega Sales ด้วย
- 87% ผู้ใช้งาน TikTok ชอบชอปปิงในช่วงมหกรรม Mega Sales
จาก Insight ดังกล่าวคงพอเห็นภาพกันแล้วว่า เหล่านักชอปบน TikTok ให้ความสำคัญกับมหกรรม Mega Sales มากแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่แบรนด์จะทำการปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว เพราะนอกเหนือจากการแข่งขันที่ดุเดือดของธุรกิจออนไลน์แล้ว ผู้บริโภคเองก็ช่างเลือกมากขึ้น มีการเปรียบเทียบราคาสินค้าที่หลากหลาย ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เงินเฟ้อพุ่งตัวค่าครองชีพสูงขึ้น ผู้บริโภคจึงต้องเลือกสินค้าที่มีความคุ้มค่า คุ้มราคามากที่สุด ยิ่งทำให้ตลาดเกิดการแข่งขันในช่วง Mega Sales อย่างมาก
ไม่เพียงเท่านั้น จุดเด่นที่สำคัญของ TikTok คือยังเป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้เกิดวงจรการซื้อแบบไม่รู้จบ หรือที่เรียกว่า ‘Infinity Loop’ เกิดจากการที่แบรนด์กระตุ้นให้เกิดการค้นพบสินค้าหรือบริการ จากนั้นผู้ซื้อก็เกิดการพิจารณาซื้อ (วงสีฟ้า) แต่หลังจากการซื้อแล้วไม่ได้จบแค่นั้น มีการนำสินค้าไปรีวิวภายในคอมมิวนิตี แล้วก็ครีเอทคอนเทนต์กลับไปที่แพลตฟอร์มอีกครั้ง (วงสีชมพู) จนเกิดวงจรการซื้อแบบไม่มีที่สิ้นสุด
นอกจากนี้ ยังทำให้เกิด Brand Loyalty ที่ทำให้ผู้บริโภคมีความภักดีต่อแบรนด์ ทำให้เกิดการซื้อซ้ำและการซื้อที่มากขึ้นด้วย ที่สำคัญคือ Infinity Loop ในช่วงมหกรรมลดราคา Mega Sales เป็นจังหวะที่ดีที่ทำให้ผู้บริโภคค้นพบและพิจารณาการ ซื้อสินค้าจากแบรนด์ (Discovery and Consideration) โดยในช่วงสีฟ้านี้เอง ที่ผู้บริโภคจะได้มีโอกาสในการค้นพบแบรนด์ที่โดดเด่นมากพอ ที่จะทำให้ผู้ใช้พิจารณาเลือกสินค้านั้นๆ แบรนด์จะต้องสร้างความแตกต่างและโดดเด่นในตลาดให้ได้
เพราะฉะนั้นแล้ว หากผู้ประกอบการ แบรนด์ หรือนักการตลาด หากยังเน้นการอัดโปรโมชั่นในช่องทางอีคอมเมิร์ซหรือในช่องทางเดิมๆ อยู่ ก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะเข้าถึงตัวผู้บริโภคได้ ที่สำคัญคือ ผู้บริโภคส่วนใหญ่เริ่มอิ่มตัวกับโฆษณาในรูปแบบเดิมๆ แล้ว ทุกๆ แบรนด์แทบจะทำเหมือนกันหมด ดังนั้น สิ่งสำคัญที่จะเรียกความสนใจจากผู้บริโภคได้ก็คือ การสร้างความแตกต่าง (Differentiate) ซึ่ง สิ่งที่มาแรงที่สุดและเรียกความสนใจได้มากที่สุดในยุคดิจิทัลนี้ก็คือ การเชื่อมโยงผู้บริโภคผ่านความสนุก ความบันเทิง ซึ่งเรียกโดยรวมว่า Shoppertainment ซึ่งมาจาก Entertainment + Commerce นั่นเอง
แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงความเอนเทอร์เทนเมนต์ แพลตฟอร์มที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุคก็คือ TikTok ตอกย้ำด้วยคำยืนยันจาก Nielsen ที่ระบุว่า 78% ของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ยกให้คอนเทนต์บน TikTok คือที่สุดแห่งความบันเทิงเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น นั่นจึงทำให้ TikTok ถูกเรียกว่า The New Era of Entertainment
เรียนรู้ 3 กลยุทธ์สำคัญในการใช้ TikTok สร้างยอดขายในทุกช่วงมหกรรม Mega Sales ของไทย
TikTok ได้ชื่อว่าเป็น Entertainment Commerce เบอร์ 1 ตัวจริงเหนือแพลตฟอร์มอื่นนั้น เราพบว่ามี 3กลยุทธ์หลัก ซึ่งจะผลักดันให้แบรนด์สามารถสร้างความโดดเด่นได้ในช่วง Mega Sales ได้ดังนี้
- Commerce
- Culture
- Content
ทั้งนี้ แต่ละข้อนั้นมีรายละเอียดของการใช้แต่ละโซลูชั่นอย่างไรบ้าง มาลองติดตามดูกัน
ผลักดัน Commerce
การทำ Commerce ของ TikTok จะช่วยแบรนด์หาโซลูชั่นและสร้างสรรค์แคมเพนในช่วง Mega Sales ผ่านเครื่องมือการตลาดและ Ad Solutions ต่างๆ ของ TikTok ซึ่งมีทั้งโซลูชั่นที่จะช่วยสร้าง Awareness, Consideration และ Conversion ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแบรนด์ สำหรับโซลูชั่นต่างๆ ตามกลยุทธ์ Commerce ที่น่าสนใจ มีดังนี้
1) In-feed Ads
สำหรับโซลูชั่นแรก ที่อยากแนะนำในการทำ Commerce ที่ดีคือ In-feed Ads เป็นโซลูชั่นที่จะช่วยสร้างการรับรู้ให้แบรนด์และนำไปสู่การขาย โดยสามารถทำได้ทั้งการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Option) และสามารถปรับได้ตามวัตถุประสงค์ต่างๆ ของแคมเพน (Campaign Objective) ไม่ว่าจะเป็น เพิ่มยอดวิดีโอวิว เพิ่ม traffic ในการดาวน์โหลดแอปฯ หรือแม้แต่การสร้าง Conversion ก็ได้ โดยมีรูปแบบของโฆษณา (Ads format) 2 รูปแบบดังนี้
- Top Feed เป็นโฆษณาที่การันตีให้แบรนด์ได้โฆษณาใน First Premium Position ซึ่งจุดนี้จะเกิดขึ้นบนFor Your Feeds บนแอปพลิเคชันของ TikTok
- การลงโฆษณาผ่าน Reach and Frequency คือเครื่องมือทางการตลาดที่เราสามารถกำหนดผู้ชมที่เราเข้าถึงและความถี่ที่พวกเขาเห็นโฆษณา เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า และเพิ่มยอดขายในช่วง Mega Sales
2) Catalog-based Shopping Ads
โซลูชั่นถัดมาคือ Catalog-based Shopping Ads เป็นโซลูชั่นที่ช่วยในการปิดการขายสินค้าให้เร็วขึ้น โดยมี 2 ฟอร์แมตด้วยกัน ได้แก่ 1) Dynamic Show Case Ads และ 2) Collection Ads สามารถช่วยให้แบรนด์ ได้มีโอกาสสร้างยอดขายผ่านสินค้าต่างๆ ที่ขายดีได้ โดยจะพาผู้ใช้งานไปยังหน้าแค็ตตาล็อกสินค้าบนเว็บไซต์, หรือบนหน้าเพจ หรือบนอีมาร์เกตเพลสก็ได้ เรียกว่าเป็นโฆษณาที่ง่ายในการปิดการขายเลยทีเดียว นอกจากนี้ ทั้งสอง Ads format นี้ ยังมีทั้งความสนุกและ Personalized มากทีเดียวถ้าเทียบกับ Ads Creative ทั่วๆ ไป
3) Value-based optimization
สำหรับโซลูชั่นที่เรียกว่า Value-based optimization คือการที่โพรดักตัวนี้สามารถทำให้แคมเพนของเราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งใจที่จะชอปปิงในช่วงของ Mega Sales หรือเรียกได้ว่า พาโฆษณาไปหากลุ่มลูกค้าที่มียอดใช้จ่ายสูงๆ ในช่วง Mega Sales ช่วยทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่ม Quality User ได้ง่ายขึ้น หรือเข้าถึงกลุ่มคนที่มีความต้องการในการชอปปิงจริงๆ ในช่วงของ Mega Sales เป็นอีกหนึ่งโซลูชั่นที่ช่วยแบรนด์ประหยัดเวลาในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้านักชอปตัวจริง
เป็นส่วนหนึ่งของ Culture
การสร้าง Culture ให้กับแบรนด์ หรือการสร้างประสบการณ์ให้เกิด engage ระหว่างแบรนด์และผู้ใช้งาน เป็นสิ่งสำคัญมากที่แบรนด์และนักการตลาดควรลองเข้าไปเล่นใน TikTok เพื่อทำความเข้าใจว่ามีกระแสหรือมีอะไรที่กำลังเป็นกระแสหรือไวรัลอยู่ ซึ่งหลังจากที่เข้าใจแล้ว ก็สามารถนำสิ่งเหล่านี้มาสร้างเป็นคอนเทนต์ได้ เพื่อนำไปโปรโมทแคมเพนได้ และมีคำแนะนำ 3 โซลูชั่นให้ทำ ดังนี้
- เปิด TikTok Business Account และใช้ช่องทางนี้เป็นช่องทางในการสื่อสารกับผู้บริโภค โดยแบรนด์ที่ยังไม่เคยมาลงแคมเพน ก็ยังสามารถที่จะรัน Creative Experiment เพื่อใช้ดูว่าครีเอทีฟแนวไหนที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคและแบบไหนที่ไม่ตอบโจทย์ก็ได้
- Branded Mission เป็นการลงโฆษณารูปแบบที่เป็นแนว Crowdsourcing หมายความว่าผู้ที่ลงโฆษณา สามารถที่จะรวบรวมคอนเทนต์ต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์จากทางครีเอเตอร์บน TikTok แล้วหยิบการทำวิดีโอเหล่านี้มาใช้โปรโมทผ่านการยิงเป็นโฆษณา ซึ่งจะทำให้แคมเพนดูมีการใช้ Creative ที่มีความ Native มากขึ้น และเหมาะสมกับแพลตฟอร์ม TikTok อีกด้วย
- ใช้งาน Branded Effect สำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างความโดดเด่นในช่วงเทศกาล Mega Sales สามารถทำแคมเพนที่ใช้ Branded Effect ได้ เพื่อเป็นการ engage ผู้บริโภค โดยการทำ Branded Effect คือการผสมผสานเทคโนโลยี และเอฟเฟกต์ต่างๆ รวมไปถึงการใช้ AR (Augmented Reality) เพื่อทำให้แคมเพนมีความสนุกสนานและดูน่าตื่นเต้นมากขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็มีการเปิดตัว TikTok Shop ให้ใช้งานแล้วที่ประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อการมอบประสบการณ์ในการชอปรูปแบบใหม่ๆ ให้ผู้ใช้งาน ผู้บริโภค ก็สามารถเข้าไปที่ TikTok แอปพลิเคชัน เพื่อกดเลือกสินค้าที่อยู่บน TikTok Shop ได้เลย และยังสามารถกดชำระเงินโดยที่ไม่ต้องกดออกจาก TilTok แอปฯ เลย ในขณะที่ฝั่งแบรนด์โซลูชั่นนี้จะช่วยปิดยอดขายได้รวดเร็วมากขึ้น ผ่านทั้งรูปแบบการทำไลฟ์สตรีม หรือผ่านการทำวิดีโอสั้นก็ได้
การสร้างสรรค์ Content
เป้าหมายของการทำ Content Solutions คือการเชื่อมลูกค้าและแบรนด์ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยจะนำเอา TikTok Ads Solution ที่ทุกคนคุ้นเคยกันอยู่แล้ว มารวมเข้ากับความบันเทิงของคอนเทนต์และความสร้างสรรค์จาก TikTok Creator เพื่อที่จะดึงดูดและ engage ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่การปิดการขายในที่สุด
กลยุทธ์ในการวางแผนแคมเพน ตาม Media Phasing
ทั้งนี้ ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่เดือนกันยายน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ Mega Sales อยากให้คำแนะนำสำคัญอีกประการ คือ แบรนด์ควรมีการแพลนแคมเพนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคมีเวลาในการเปรียบเทียบราคาและอ่านรีวิวล่วงหน้าได้ซึ่งเป็นพฤติกรรมสำคัญของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน หลังจากนั้นถึงจะมีการปล่อยแคมเพนหลักออกไป ซึ่งในการทำ Media Phasing บน TikTok สามารถแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 phases ดังนี้
เฟสที่ 1 คือการทำ Pre-Campaign Launch ควรจะเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป และแนะนำว่าหลายๆ แบรนด์ที่อยากโปรโมทแคมเพนนั้นสามารถทำ Test and Learn และนำเลิร์นนิ่งที่ได้ไปต่อยอดในพรีเรียดถัดไปได้
เฟสที่ 2 คือช่วงของ During Mega Sales เป็นการหยิบสิ่งที่ทำได้ดีมากๆ ในช่วงที่ 1 มาต่อยอดและปิดการขายให้ได้มากที่สุด
เฟสที่ 3 คือช่วง Post-Campaign Launch แบรนด์สามารถเพิ่มโอกาสในการขายของ โดยแพลนให้แคมเพนรันยาวไปจนถึงสิ้นปีเลย ซึ่งตรงนี้จะช่วยเพิ่มยอดขาย ในช่วงคริสต์มาสและช่วงเทศกาลสิ้นปีได้ด้วย
4 ขั้นตอนในการ พิชิต ‘ยอดขาย’ ช่วง Mega Sales
คำแนะนำสำหรับแบรนด์ที่อยากจะสร้างยอดขายให้ทะลุเป้าในช่วง Mega Sales และทำแคมเพนให้ประสบความสำเร็จ มี 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 การกำหนดระยะเวลาของการทำแคมเพน เป้าหมายแคมเพน และกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ในการกำหนดเป้าหมายต่างๆ แล้ว ควรทำการวางแผนโดยเลือกใช้ Ad Solutions ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 เฟสของการวางแผนได้ดังต่อไปนี้
- Inspire & Excite แบรนด์ควรเริ่มทำแคมเพนโฆษณาก่อนจะถึงวัน Mega sales ในแต่ละเดือน 7-14วัน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นและทำให้ผู้บริโภครับรู้ถึงแคมเพนใหญ่ที่กำลังจะมาถึง
- Discover & Consider ส่วนนี้แบรนด์สามารถใช้วิธีโปรโมท Teaser Sales ประมาณ 7-14 วันล่วงหน้าได้ก่อนวันที่จะเป็นวัน D-Day เพื่อเป็นการสร้างความจดจำและกระตุ้นให้เกิด Call to action เชิญชวนให้ผู้บริโภคเข้ามาเก็บ voucher เก็บ code ส่วนลด หรือว่า add to cart ก็ได้
- Retarget & Convert เป็นโค้งสุดท้ายก่อนวัน D-Day ตรงจุดนี้แนะนำให้มีการ Re-targeting ซึ่งสามารถทำได้ทั้งกับกลุ่มลูกค้าเดิม และกลุ่มที่แสดงความสนใจในโฆษณาของเราก่อนหน้านี้ ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือในการช่วยแบรนด์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ได้ด้วย Automatic Targeting ซึ่งจะทำให้การโฆษณาบน TikTok แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขั้นที่ 2 ขั้นของการดึงพลังจากรูปแบบ TikTok Ads ต่างๆ เพื่อให้ถึงเป้าหมายของแคมเพนการตลาด
ในขั้นนี้หากเราเข้าใจวัตถุประสงค์หลักของการรัน Ads Format ต่างๆ บน TikTok แล้ว ในการที่เราจะแพลน Full Funnel Campaign ในช่วง Mega Sales ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ตรงจุดนี้ แนะนำให้มีการเริ่มสร้างความตื่นเต้นก่อนการมาถึงของ Mega Sales และทำให้คนรับรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเรา ซึ่งสามารถเลือกทำ Ads Format Solution ได้ทั้ง Top Feed และ Reach & Frequency หลังจากนั้นก็เริ่มทำให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ว่ามีสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นผ่านตัววิดีโอสั้น เพื่อโปรโมทจุดเด่นของสินค้า และกระตุ้นให้เกิด Call to action ผ่านการทำคอนเทนต์ที่โพสต์ลงไปตรงที่ Business Account ของแบรนด์
นอกจากนี้ เรายังสามารถเร่งการปิดยอดขาย โดยการใช้ตัว Catalog- based Ads และ Value-based optimization ก็ได้ ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้แนะนำให้มีการใช้ ประมาณ 2-5 วันล่วงหน้า ก่อนที่จะเข้าสู่วัน D-Day และสุดท้ายในวันที่สำคัญที่สุดคือวัน D-Day ซึ่งเราก็แนะนำให้แบรนด์พิชิตยอดขายจากแคมเพนบนTikTok
ขั้นที่ 3 ขั้นของของการวัดผลแคมเพนที่ได้มีการลอนช์ในช่วงของ Mega Sales
ปัจจุบันเรามีเครื่องมือทั้งหมด 2 ประเภท ที่จะช่วยทำให้แบรดน์วัดค่าผลลัพธ์ของแคมเปญที่รันอยู่ว่าได้ผลดีมีประสิทธิภาพหรือไม่ ดังนี้
- ประเภท 1 คือการทำ Brand Measurement ซึ่งมีทั้ง 1) Brand Lift Study 2) Kantar Ad Effectiveness Study ที่จะช่วยทำให้แบรนด์เข้าใจว่า แคมเพนโฆษณาบน TikTok มีผลต่อการรับรู้ หรือการจดจำ หรือช่วยในการปิดยอดขายหรือไม่
- ประเภท 2 คือการทำ Performance Measurement โดยที่มีทั้ง 1) Sales Lift Study ที่จะช่วยทำให้แบรนด์เข้าใจว่ายอดขายส่วนใหญ่นั้นมาจากช่องทางไหน และ 2) MMx (Media Mix Modeling) ที่แบรนด์สามารถจะใช้วัดผลว่า มีเดียประเภทไหนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการช่วยปิดยอดขาย
ทั้งนี้ ในการวัดผลนั้นแนะนำให้ทำการวัดผลโดยแบ่งเป็น 4 เฟส ดังนี้
เฟสที่ 1 ถือเป็นช่วง Pre-hype แบรนด์สามารถทำแคมเพนเพื่อโปรโมท Awareness และวัดผลผ่าน Metricอย่างเช่น Reach Video View และ Impression ได้
เฟสที่ 2 ก็เป็นช่วงของ Teaser เป็นช่วงที่หลายๆ แบรนด์พยายามจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้า และพยายามไปให้ถึงเป้าหมายที่ไปลึกมากกว่าการทำ Awareness เพราะฉะนั้นในเฟสนี้แนะนำว่า Metric ที่เราจะใช้ในการรันแคมเพน อาจจะเป็น Launch App, Install App หรือ Add Payment เป็นต้น
เฟสที่ 3 คือช่วงเวลาของการ Countdown ตรงนี้แบรนด์สามารถโปรโมทข้อเสนอ หรือโปรโมชั่นต่างๆ หรือแม้กระทั่งทำคอนเทนต์ในการรีวิวสินค้า เช่น การทำ Unboxing Content ก็ได้ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภค เกิด Call to action
เฟสที่ 4 เป็นเฟสสุดท้าย ในวัน D-Day ในช่วงนี้ แบรนด์ควรเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นลูกค้าเดิม ซึ่งเราแนะนำให้ทำ Re-Targeting ด้วย โดย Metric ที่จะใช้วัดผลคือ Purchase และ Check out
ขั้นที่ 4 ใส่ความครีเอทีฟลงไปบน TikTok
อย่างที่รู้กันว่าครีเอทีฟมีส่วนช่วยทำให้แคมเพนประสบความสำเร็จ แต่เราควรที่จะเตรียมตัวด้านครีเอทีฟอย่างไร สำหรับ Mega Sales ที่จะมาถึงในครั้งนี้ คำแนะนำก็คือ ควรจะแบ่งการทำครีเอทีฟออกเป็น 3 เฟสด้วยกัน เพื่อทำให้แคมเพนประสบความสำเร็จ ดังนั้น ลองมาดูกันว่าเราสามารถทำครีเอทีฟแบบไหนได้บ้างเพื่อตอบโจทย์ในแต่ละเฟส
เฟสที่ 1 Sale Announcement – อาจเริ่มด้วย Entertaining Content เพื่อสร้างการรับรู้ว่ากำลังจะมี Mega Sales เกิดขึ้นแล้ว เช่น ทำคลิปสนุกๆ หรือเล่นกับตัวเลขที่สอดคล้องไปกับธีมของ Mega Sales เพื่อให้คนจดจำได้มากยิ่งขึ้น
เฟสที่ 2 Teaser Sales – ช่วงนี้อาจจะเอาโปรโมชั่นหรือเบเนฟิตต่างๆ ของสินค้าของแบรนด์เรามาโชว์ เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับผลิตภัณฑ์นั้นๆ โดยอาจจะเริ่มจากของใช้หรือของแถมพิเศษ หรืออีกวิธีคือการนำสินค้าตัวนั้นมารีวิวเพื่อกระตุ้นความอยากได้ เช่น การทำ Unboxing VDO ก็ได้
เฟสที่ 3 Countdown and Mega Sales Day – เป็นการย้ำกับผู้ใช้งานอีกครั้งว่า วัน D-Day มันใกล้จะถึงแล้วนะ ซึ่งวิธีหนึ่งที่จะช่วยสร้างความตื่นเต้นได้ ก็คือใช้ Countdown Sticker เพื่อนับถอยหลังสู่วัน D-Day หรืออย่างที่รู้กันว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคต้องการได้ดีลที่ดีที่สุด อาจจะทำคอนเทนต์ถึงวิธีการเก็บ voucher หรือโปรโมชั่นต่างๆ ก็ได้
กรณีศึกษาจากความสำเร็จ ของการทำแคมเพน Mega Sales
GARNIER Vietnam
แบรนด์ต้องการสร้างยอดขายบนแคมเพน Mega Sales 12.12 โดยแคมเพนต้องการโปรโมทเซรั่มใหม่ ซึ่งเป็นฮีโร่โปรดักส์ตัวใหม่ และต้องการสร้างยอดขาย และเน้นจุดขายของแบรนด์คือการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ โดย GARNIER Vietnam เลือกที่จะใช้โฆษณาทั้ง Branded Hashtag Challenge, Branded Effect, Top View และ Reach and Frequency ทั้งหมดนี้มามิกซ์แอนด์แมทช์เข้าด้วยกัน
ในส่วนของครีเอทีฟ ยังมีการคอลลาบอเรชั่นกับเซเล็บคนดังและอินฟลูเอนเซอร์ในกลุ่ม Gen Z ได้แก่ ‘Amee’ ในการปล่อยเพลงและเต้น ผ่านแฮชแท็ก #GiGiGiGi เป็น Hashtag Challenge ซึ่งมีทั้งความสนุกและดึงให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมไปกับชาเลนจ์ด้วย พร้อมกับยิงไปหากลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในผลิตภัณฑ์ประเภทต้องการผิวสดใสหรือมีการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ ผสมกับการใช้ Top View เพื่อให้เมื่อเวลาเปิดแอปฯ แล้วจะพบกับโฆษณาขึ้นมาทันที ก่อนที่จะจบท้ายด้วยการใช้ Reach and Frequency ในการรีทาร์เก็ตผู้ใช้งานหลังจากที่แคมเพนจบแล้วเพื่อสร้าง Conversions เพิ่มขึ้น ทำให้ได้ผลลัพธ์ดังนี้
- Total VDO Views – 282.3 ล้านวิว
- ยอดขายใน Shopee เพิ่มขึ้น 30%
- เซรัมใหม่ ขึ้นอันดับ 1 ใน Shopee ภายใน 1 เดือน
Colgate ไทย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
แบรนด์ทำแคมเพนในช่วง Mega Sales 9.9 โดยต้องการเปลี่ยนจากความตื่นเต้นไปสู่การสร้างยอดขาย ดังนั้น จึงชักชวนให้ผู้บริโภคมาร่วมสนุก และสร้างประสบการณ์ในการชอปปิงที่สุดแสนเอนเทอร์เทน โดยมีเป้าหมายเพื่อการเพิ่มรีชให้มากที่สุดและไดร์ฟเซลได้ด้วย
ทาง Colgate เลือกโซลูชั่นได้แก่ Sponsorship Package ซึ่งเต็มไปด้วย Innovations มากมาย ไม่ว่าจะเป็นTikTok Live, TikTok Lucky Draw เพื่อทำให้ถึงยังเป้าหมาย ซึ่งสามารถสร้างประสบการณ์ความสนุกในแบบ Entertainment Commerce ได้ พร้อมทั้งพาผู้ใช้งานไปยังแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของแบรนด์ด้วย ทำให้ได้ผลลัพธ์ ดังนี้
- Total Impression – 214.8 ล้านอิมเพรสชั่น
- มีผู้ใช้งานเข้าไปยังหน้าโฮมเพจของแบรนด์ – 1.4 ล้านยูเซอร์
- เกิดการแลกใช้ Voucher – 8,000 ใบ
ทั้งหมดนี้คือการรวมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดลับ เทคนิคการใช้งาน Ads Solutions ต่างๆ อย่างละเอียด ของ TikTok เพื่อให้แบรนด์และธุรกิจสามารถสร้างสรรค์แคมเพนให้ประสบความสำเร็จในช่วงMega Sales ที่นับวันการแข่งขันยิ่งดุเดือดมากขึ้น ซึ่งวันนี้จะต้องเริ่มลงมือทำแล้ว เพราะธุรกิจดิจิทัลไม่ใช่เวลาที่คุณจะรอได้อีกต่อไป
และนอกเหนือจากคอนเทนต์ที่เราได้สรุปให้แล้ว ก็ยังสามารถติดตามไปอ่านได้ผ่านทั้ง Microsite Mega Sales หรือย่อยงานขึ้นไปอีกในรูปแบบ Playbook Mega Sales
ติดตาม ‘TikTok Unboxed Series with Marketing Oops! ซีรีส์สุดพิเศษเพื่อนักการตลาดทุกสายพันธุ์ให้กับความหลากหลายของทุกลุ่มธุรกิจ’ เพื่อเตรียมรับ อินไซต์ใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายบน TikTok และที่ไม่ควรพลาด คือการร่วมอีเวนต์ A Day with TikTok กับเรา
Copyright © MarketingOops.com