ในปีที่ผ่านมานั้นมีการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่น่าสนใจ คือการที่ออฟฟิสหรือคนทำงานหลาย ๆ ที่นั้นต้องถูกกักตัวอยู่ที่บ้านทั่วโลก และคนต่างชาติหลาย ๆ ชาตินั้นต่างติดอยู่ประเทศที่ตัวเองไปท่องเที่ยวจนกลับประเทศไม่ได้ หรืออีกส่วนหนึ่งก็เกิดการหนีของโรคระบาดไปยังประเทศปลายทางที่มีความปลอดภัยหรืออยู่แล้วสบายใจมากกว่า การเกิดขึ้นของเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เกิดกระแสใหม่ของการใช้ชีวิตในอนาคตที่จะเป็นรูปแบบของการใช้ชีวิตแบบ Subscription ทั้งหมดขึ้นมา
จากการที่โลกของเรานั้นมีโรคระบาดขึ้นมา ทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวนั้นพังทลายไป ทั้งสายการบินต้องปิดตัว หรือขาดทุนสะสมจำนวนมาก ธุรกิจโรงแรมต่างต้องขายกิจการทิ้ง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว แม้กระทั่ง Startup ท่องเที่ยวต่างต้องปิดตัว หรือไม่ปิดตัวก็หาทางไปทำธุรกิจอื่นชั่วคราวเพื่อเอาตัวรอดกัน ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างชี้กันว่าธุรกิจท่องเที่ยวนั้นจะยังไม่ฟื้นตัวไปจนกว่า 2024 ซึ่งนี้หมายความว่าคนจะกลับมาท่องเที่ยวไม่เท่าเดิม แต่การที่นักท่องเที่ยวนี้หายไปไม่ได้หมายความคนจะไม่หยุดเดินทาง เพราะด้วยการที่ทำให้คนนั้น Work From Home หรือ Remote Working เข้ามาได้นั้นจะทำให้คนนั้นเดินทางหาที่ทำงานใหม่ ๆ หรือหาที่อยู่ใหม่ ๆ ในการทำงานแทน การท่องเที่ยวไม่ได้เป็นการท่องเที่ยวอีกต่อไป แต่จะเป็นการเดินทางเปลี่ยนที่ทำงานไปด้วย ทำกิจกรรมไปด้วยได้ และเป็นโอกาสที่ดีที่ธุรกิจท่องเที่ยวจะจับตลาดของคนกลุ่มนี้ขึ้นมา
จากการที่ปี 2020 ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจนั้นต้องให้พนักงานนั้น WFH และจากการที่ทำให้ WFH นี้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้งานนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นหรือแม้กระทั่งมีประสิทธิภาพเหมือนกับการมาออฟฟิส ทำให้เกิดการเปลี่ยนต่อวิธีการคิดในการทำงานที่ไม่ต้องมีออฟฟิสอีกต่อไป ทำให้เกิดการที่พนักงานจำนวนมากเกิดการทำงานแบบ WFH ตลอดไป หรือหลายคนก็กลายเป็นการทำงานแบบ Remote Working และคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้หยุดอยู่กับการทำงานที่บ้าน แต่อาจจะไปเปลี่ยนบรรยากาศไปทำงานตามร้านกาแฟ ร้านอาหาร จนถึงการไปพักโรงแรม รีสอร์ต หรือ Staycation เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน กลายเป็น Digital Nomads ไป คืออยู่ที่ไหนก็ได้ในโลก ขอเพียงมีอินเทอร์เนต ก็สามารถทำงานได้แล้ว
ในอดีตนั้นการทำงานแบบ Digital Nomads นั้นมีความขัดแย้งทางกฏหมาย เพราะจะเป็นวีซ่านักท่องเที่ยวก็ไม่ใช่ จะวีซ่าและขอ Work Permit มาทำงานยังประเทศปลายทางก็ไม่เชิง ทำให้คนกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มเทา ๆ ที่ถ้าไม่เจอเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมาตรวจก็จะอยู่แบบนี้ไปและหารายได้ไปด้วย แต่ในปี 2020 ที่ผ่านมาที่การท่องเที่ยวนั้นหยุดชะงัก แต่การเดินทางเพื่อทำธุรกิจและทำงานนั้นยังคงทำได้ ทำให้หลาย ๆ ประเทศเริ่มเห็นโอกาสนี้ในการจับกลุ่ม Digital Nomads เข้ามาด้วยการออกวีซ่า digital nomad visas เพื่อดึงเงินเข้าประเทศ ซึ่งประเทศเหล่านั้นได้แก่ Barbados, Estonia, และ Georgia โดยกลุ่มนี้ต้องใช้ชีวิตประเทศที่ขอวีซ่า 12 เดือน และประเทศที่ให้วีซ่านั้นหวังว่าคนกลุ่มนี้จะใช้จ่ายและทำธุรกิจที่จะสามารถทำให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นขึ้นมาได้โดยไว
เมื่อเกิดการทำงานแบบ Digital Nomads แล้ว ซึ่งเป็นการทำงานในระยะยาวแบบ 12 เดือนขึ้นมานั้น ทำให้ต้องหาที่อยู่ระยะยาวขึ้นมาได้ โดยราคาที่สมเหตุผล ทำให้ต่างประเทศนั้นเกิดธุรกิจที่คล้าย Airbnb แต่เป็นการให้ Digital Nomads เหล่านี้ สามารถเช่าบ้านและที่พักอาศัยในระยะยยาวได้ โดยการมีบ้านเป็น Housing-as-a-service ซึ่งทำให้คนกลุ่มนี้ไม่ต้องมีภาระในการดูแลบ้าน หรือสุดท้ายมีภาระติดตัว โดยเครือโรงแรมหลาย ๆ โรงแรมเริ่มทำห้องพักแบบ Micro-apartment เพื่อจับกลุ่มคนทำงานแบบนี้ อย่างเช่น Zoku เป็นกลุ่มโรงแรมในยุโรปที่ออกให้คน subcription service ของห้องพักตัวเองได้ และสามารถย้ายไปในเครือโรงแรมได้ซึ่งในอนาคต รูปแบบนี้จะมาทดแทนการอยู่พักโรงแรมแบบเดิมไป
นอกจากที่พักที่ต้องการเกิด Subscription แล้ว ทรัพย์สินอื่น ๆ ก็ต้อง Subcription ทั้งหมดเช่นกัน ด้วยการที่คนนั้นไม่อยากเป็นภาระหรือมีทรัพย์สินใหญ่ ๆ ติดตัวที่ใช้ไม่กี่ครั้งและก็ต้องมาเก็บ ทำให้คนในยุค Digital Nomads นี้ รวมทั้งคนในยุคที่เติบโตมาในตอนนี้จะนิยมการใช้ธุรกิจ Subcription กับสิ่งของต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดการบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคลง และใช้ชีวิตแบบ Minimalism จะทำให้ธุรกิจที่ให้ยืมอุปกรณ์ หรือสิ่งของต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมาอย่างมากมาย
ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่คนทำธุรกิจในยุคนี้สามารถสร้างเครื่องมือรองรับความต้องการในอนาคตขึ้นมาได้ทันที หลังจาก COVID-19 นี้จะทำให้ธุรกิจต่าง ๆ นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และเกิดการใช้ชีวิต การทำธุรกิจ รวมถถึงการเกิดธุรกิจใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างมากมายที่จะรองรับคนเดินทางแบบ Remote Working หรือการเปลี่ยนที่ทำงานต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น