เมื่อเดือนมีนาคมในช่วงวันที่ 9-17 ที่ผ่านมานั้นมีงานเทศกาลใหญ่ของโลกงานหนึ่ง และผมได้มีโอกาสได้ไปร่วมงานมานั้นคืองานที่เรียกว่า SXSW ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่ผมได้เข้าไปร่วมงาน ซึ่งวันนี้ผมจะมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟังว่า ที่งาน SXSW นี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง และมีเทรนด์อะไรที่เปลี่ยนไปจากปี 2017 ที่ผ่านมา
httpv://www.youtube.com/watch?v=2OQZfjHn6m8&list=PLXs_3rGeYdIne_BvXZUtoGQb4eTirD90M&index=41
งาน SXSW เรียกได้ว่าเป็นเทศกาลใหญ่ของโลกที่ครบครัน เพราะรวมงานตั้งแต่การ การตลาด นวัตกรรม ธุรกิจ โฆษณา Startup เพลง ภาพยนต์ ตลก และเกมส์เข้าด้วยกันไว้ในระยะเวลากว่า 10 วัน ที่มีคนไปร่วมงานนับแสน ๆ คนจากทั่วโลก ซึ่งจัดที่เมือง Austin รัฐ Texas ประเทศสหรัฐอเมริกาที่เดิมในทุก ๆ ปี ซึ่งปีนี้งานเทศกาลนี้ก็มีปัญหาตั้งแต่เริ่มก่อนจัดงานมาเลย สำหรับใครที่อยากรู้ในปีที่แล้ว ก็ลองอ่านบทความประสบการณ์ของผมที่มาเล่าไว้ 5 เรื่องที่พูดถึงกันมากสุดจากประสบการณ์ตรงงาน SXSW 2017
เทศกาล SXSW ในปีนี้มีข่าวออกมาตั้งแต่ต้น ๆ ว่านักการตลาดหลาย ๆ บริษัทจะไม่มา ร่วมทั้งเอเจนซี่ต่าง ๆ ถอนตัวไม่มาร่วมในปีนี้กับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ก็จะไม่มีการมาตั้งบูธหรือเปิดโชว์เทคโนโลยีต่าง ๆ กัน ซึ่งเหตุผลที่หลาย ๆ องค์กรนั้นไม่มา เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีเรื่องราวหน้าตื่นเต้นเหมือนในอดีตของงาน ที่ Twitter มาเปิดตัวที่งานนี้ หรือ Foursquare มาเปิดตัว พร้อมทั้งหลาย ๆ คนเริ่มคนว่างาน SXSW นั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปในการมา โดยเฉพาะค่าที่พักใน 10 วันนั้นอาจจะสูงถึงวันละ 20,000-40,000 บาทต่อคืนเลยทีเดียว นอกจากนี้หลายคนก็ยังคิดว่า มีงานการตลาดและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เป็นทางเลือกอีกมากมายในยุคนี้ที่นักการตลาดจะไปได้ แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีงานใดในโลกนั้นที่จะมีความครบของทุกศาสตร์มารวมอยู่ที่เดียวกัน และทำให้คุณได้เปิดโลกทรรศน์ทางความคิดและเชื่อมโยงศาสตร์เหล่านั้นเข้าด้วยกัน ดัง Concept ของงาน SXSW ที่เรียกได้ว่า Creative Convergence
ในปี 2018 นี้ SXSW นั้นมี theme งานมีการประกาศใน Session แรกของงานที่ CEO SXSW ขึ้นมากล่าวเลยว่าเป็นปีที่จะเน้นเรื่อง Workplace และ Zen เป็นอย่างมาก เพราะด้วยสถานการณ์ที่อเมริกาและฝั่งยุโรปที่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ในที่ทำงาน และเรื่องความเท่าเที่ยมกันด้านสีผิวและเพศ ทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญ กับการพูดเรื่อง Zen ที่เป็นเรื่องการทำสมาธิและการบริหารจัดการตัวเองและคนรอบข้างซึ่งเป็น Soft skill ที่สำคัญเช่นกันในทุกวันนี้
หัวข้อใน SXSW ที่ไม่มีการพูดถึงและพูดถึงกันน้อยมาก ในส่วนของ Digital Marketing, Content Marketing และ Storytelling ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องพวกนี้คนเลิกทำไปแล้ว แต่เป็นเพราะ Digital กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Marketing ปกติไม่มีการแบ่งแยกออนไลน์หรือออฟไลน์อีกต่อไป แถมทุกคนก็ทำกันเป็นปกติแล้ว ดังนั้นทุกคนเริ่มหันไปมองเรื่องอื่น ๆ ที่สามารถสร้าง impact ได้มากกว่านี้ ในส่วนของเทคโนโลยีนั้น VR/AR/MR พร้อมกับ Chatbot ซึ่งปีที่แล้วมีการพูดถึงอย่างมากมาย ก็มีการพูดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเหตุผลเดียวกับเรื่อง Digital Marketing, Content Marketing และ Storytelling คือการที่ทุกคนนั้นทำ Chatbot กันหมดแล้วและเป็นส่วนหนึ่งของ Practice ที่ทำกัน ทำให้การพูดนั้นไม่มีประโยชน์ และมุ่งไปหาเทคโนโลยีที่จะเสริมประสบการณ์เพิ่มขึ้นมากกว่า ดังเช่นของ VR/AR/MR นั้นคือการมองว่าทำอย่างไรจะให้อุปกรณ์พวกนี้เหลือชิ้นเดียว ใส่ได้ ไม่ต้องมีสาย สร้างความรู้สึกจริงและมี interaction จริง ๆ ขึ้นมา ทั้งนี้ในปี 2018 นี้สิ่งที่พูดกันมากที่สุดในงานคือ
1. การทำงานร่วมกับ AI : จากปีที่แล้วที่ AI ที่มาพูดกัน และกำลังตั้งไข่กันในหลาย ๆ ที่ ปรากฏว่าปีนี้ การทำ AI นั้นแทบเรียกได้ว่าหลาย ๆ บริษัทและหลาย ๆ Startup นั้นเริ่มมีใช้กันแล้ว และใช้ทำงานกันเป็นเรื่องปกติ ในการที่จะสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โดยตอนนี้ในงาน SXSW มองว่าสุดท้ายแล้ว AI นั้นจะต้องทำงานร่วมกับมนุษย์ในที่สุด จากหลาย ๆ อย่าง ๆ ต้องใช้มนุษย์ในการตัดสินใจ เพราะเข้าใจบริบทของมนุษย์เข้าด้วยกันมากกว่า
2. Blockchain จะยิ่งใหญ่ต่อไป : ในตอนนี้ทุก ๆ คนกำลังฮิตกับ Bitcoin หรือ ICO อย่างมาก แต่ในงาน SXSW นั้นระบุเลยว่า 99% ของ ICO ในปัจจุบันนั้นเป็นเหรียญขยะ ไม่มีค่าอะไร พร้อมทั้งฟองสบู่ของ ICO ต่าง ๆ นั้นจะระเบิดในปีนี้หรือปีหน้าอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามทุกคนมองว่า blockchain เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง BTC หรือ Ethereum นั้นจะยังมีโอกาสอย่างมากในอนาคต เพราะมีหลักการที่ทุกคนยังเอาไปสานต่อได้ หรือพัฒนาต่อได้ขึ้นมาเป็น Internet ยุคใหม่ แทนที่ Internet ที่ใช้ในปัจจุบันเลย
ทั้งนี้นี่คือหัวข้อใหญ่ ๆ ที่ปีนี้มีการพูดถึงเยอะสุดอย่างมาก นอกจากเรื่องเดิม ๆ ที่ยังพูดถึงอยู่อย่างเรื่อง Immersive Experience ที่หลาย ๆ คนมองว่ามีความสำคัญเพราะสามารถสร้างแบรนด์ให้จับต้องได้และทำให้คนเข้าถึงแบรนด์ และรักแบรนด์มากกว่าการทำ Campaign ขึ้นมานั้นเอง