ปัญหาใหญ่ของมนุษย์สายคอนเทนต์ ที่ไม่ใช่แค่ต้องทำให้ดี เพราะที่ยากกว่า คือทำอย่างไรให้โดน
โดยเฉพาะการจะปล่อยของบนเฟซบุ๊คให้ปัง คอนเทนต์ที่ทำก็ต้องโดนใจคนดูจนอยากกดแชร์ อยากแสดงความเห็น
..และที่สำคัญคือ ดูสนุกจนคนไม่กด Skip!
Marketingoops! ชวนมาถอดรหัสการทำงานของเขาคนนี้ เอ็ดดี้ – จุมพฎ จรรยหาญ เจ้าของเพจ “พี่เอ็ด 7 วิ” ผู้สร้างมิติใหม่ของคลิปโฆษณาที่ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ขายของอีกต่อไป
เพจนี้เขาขายกันโต้งๆ บอกกันตรงๆ ว่า “ขายของ” แต่คลิปสไตล์ตีหัวเข้าบ้านของเขา คนกลับชอบดู หลายคลิปดูกันเป็นล้านวิว
ผู้ชายคนนี้ขายได้ตั้งแต่สินค้าเด็กเล็ก สุขภาพ รถมอเตอร์ไซค์ ไปจนถึงสกินแคร์ ส่วนเรื่องทาร์เก็ตของเพจยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะเมื่อคลิปของคุณ ‘แมส’ พอ ลูกเพจจะเป็นใครก็ไม่จำเป็นเลย ถ้าคนดูแล้วอยากแชร์ อยากส่งต่อ!
เมื่อเร็วๆ นี้ เอ็ดดี้เพิ่งไปร่วมเป็นวิทยากรในกิจกรรม “YOUTUBER CHALLENGE WORKSHOP” จัดโดย OPPO Reno 10x Zoom เพื่อบอกเล่าหลักคิดในการทำงาน เทคนิคน่าสนใจเบื้องหลังความสำเร็จที่ทำให้เพจมีคนติดตามกว่า 6 แสนราย Marketingoops! เลยเก็บตกข้อคิดน่าสนใจ รวมถึงเบื้องหลังการทำงานมาฝากกัน..
จากเสือร้องไห้ สู่ ‘พี่เอ็ด7วิ’
หลายคนคงทราบกันอยู่แล้วว่า “เอ็ดดี้” คือ หนึ่งในสมาชิกของ “เสือร้องไห้” กลุ่มยูทูบเบอร์แถวหน้าของเมืองไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำคลิปสายฮา ชอบแปลงเพลงตลกๆ กลายเป็นลายเซ็นสร้างความแตกต่าง จนขึ้นแท่นแชนแนลยอดฮิตที่คนชอบดู ลูกค้าชอบใช้
เมื่อถูกถามว่า ทำไมถึงแยกออกมา เขาตอบง่ายๆ สั้นๆ ว่า
“ไม่ว่าจะไปบรรยายที่ไหน ใครถามว่า แยกจากเสือร้องไห้มาเปิดเพจของตัวเองทำไม.. เงินล้วนๆ ครับ นี่เรื่องจริง”
ก่อนจะเสริมในมุมธุรกิจว่า ด้วยความที่มีสมาชิกอยู่ 4 คน ราคาในการรับงานจึงค่อนข้างสูง ตอนหลังเริ่มเจอปัญหาว่า ลูกค้ามีงบจำกัด “โค้ดดี้” หนึ่งในสมาชิกเสือร้องไห้เลยเสนอให้แต่ละคนแยกไปทำงานเดี่ยวเพื่อรับงานที่ลูกค้ามีงบประมาณจำกัดได้ เพจพี่เอ็ดฯ จึงกำเนิดขึ้นเมื่อเมษายน 2016 แต่เพิ่งจะมาแอ็คทีฟอย่างจริงจังก็เมื่อปี 2018 นี่เอง
“ก่อนหน้านี้ รายได้ที่เล่นดนตรี บวกกับที่ทำเสือร้องไห้อยู่กับเพื่อนสนุกสนานมันพออยู่แล้ว แต่ภรรยาผมอยากมีลูกสองคน ซึ่งพอมานั่งคำนวณดูแล้ว..ไม่พอ ก็ต้องขยันให้มากขึ้น
แต่ก่อนผมเป็นคนติดเกมส์มาก เล่นวันหนึ่งๆ 4 ชั่วโมงขึ้นไป ก็ตัดเวลาตรงนั้นทิ้งแล้วเอามาทำงาน ผมจะแปะที่ข้างฝาไว้คำนึงว่า ‘ห้ามอู้’ แล้วก็มีรูปลูกสาวผมอยู่ข้างๆ”
คลิปแร็ปๆ แบบ “พี่เอ็ด 7 วิ”
ถ้าใครติดตามดูผลงานของเขา จะเห็นว่า แทบทุกคลิปเล่าเรื่องด้วยการ “แร็ป” เอ็ดดี้เล่าถึงเบื้องหลังก่อนจะสร้างงานสไตล์นี้จนกลายเป็นลายเซ็นว่า ไม่ได้คิดมาตั้งแต่ต้น แต่ด้วยความที่ตัวเองเป็นคนชอบแต่งกลอนเป็นทุนเดิม แล้วก็ชอบแปลงเพลง โดยทำมาเรื่อยๆ ตั้งแต่สมัยทำกับเสือร้องไห้ จนตอนหลังลูกค้าก็ชอบมาจ้างให้ทำคลิปโฆษณาและเล่าเรื่องผ่านเพลงแปลง
แต่เวลาทำโฆษณาแล้วต้องใช้เพลงแปลง ขั้นตอน คือ เขาจะต้องติดต่อไปที่ค่ายว่า อยากใช้เพลงนี้ ลูกค้าเป็นอย่างนี้ พร้อมแต่งเนื้อส่งไปให้เจ้าของลิขสิทธิ์ดูก่อนว่า แปลงเพลงไปเป็นแบบไหน ถ้าเจ้าของเพลงหรือผู้ประพันธ์โอเค ทีมงานจึงสามารถนำเพลงนั้นไปใช้ได้
“เราต้องซื้อลิขสิทธิ์นะครับ ทำให้ถูกต้อง อย่าละเมิดกัน เพราะสมอง และความคิดของคนสร้างงานมีค่า”
และบอกว่า หลังจากทำเพลงแปลงในโฆษณามาเรื่อยๆ ก็เริ่มเจอว่า ลูกค้าบางรายมีงบประมาณจำกัด เมื่อต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย บางรายก็ไม่ไหว จึงเป็นหน้าที่ของเขา ที่จะต้องแก้ปัญหา คิดวิธีอื่นๆ ที่จะเล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจ ให้โฆษณายังทำหน้าที่สร้างความบันเทิงที่คนยังอยากดูจนจบ
“ช่วงนี้เขาฮิตเพลงแร็ปเนอะ ความจริง ผมแร็ปไม่เป็นหรอก แต่อาศัยว่า ชอบแต่งกลอนแปด ก็เอาตรงนั้นมาปรับทำงานให้กับลูกค้า” เอ็ดดี้เล่า
นั่นคือที่มาของคลิป “พาไปดูโรงแรมคืนละ 30,000 ที่ฮ่องกง” ที่มีลูกค้าคือ HotelsCombined.com เมื่อกันยายนปี 2018 มาจนถึงวันนี้ มียอดชมไปแล้วกว่า 4 ล้านวิว และเป็นเหมือนไบเบิลให้การทำงานของเอ็ดดี้หลังจากนั้นมา
สร้างงาน อย่างมีเอกลักษณ์
แต่ก่อนจะเกิดเป็นคลิปเปรียบเทียบโรงแรมที่คนดูกว่า 4 ล้านวิว เขาบอกว่า ก่อนหน้านี้ ไม่ได้คิดมาก่อนว่า ตัวเองเก่งเรื่องการแร็ป
“เพิ่งจะมารู้ตัวก็ตอนอายุ 30 กว่า ถึงได้เข้าใจว่า เป็นคนแต่งกลอนเก่ง ผมก็ใช้สิ่งที่เป็นความสามารถของผมมาหาเงิน ความสามารถนี้ ผมเพิ่งมารู้ตอนทำเสือร้องไห้ได้ประมาณ 5 ปี ตอนแรกก็แต่งเพลง ทำเพลงไปเรื่อยๆ มีคนมาบอกเสมอว่า เฮ้ยพี่.. พี่แปลงเพลงเก่งมาก พอทักมากๆ เข้าก็ถามตัวเองว่า ที่ทำอยู่นี่เรียกกว่าเก่งเหรอ
“ก็อยากจะบอกกับทุกๆ คนว่า ยิ่งเราลองอะไรเยอะเท่าไหร่ ยิ่งดี ทำไปก่อน ใครจะหัวเราะเยาะอะไร ช่างเขา เราทำไปก่อน ถ้าลองทำแล้วล้มเหลว อย่างน้อยก็ได้รู้ว่า เราไม่เก่งอันนี้ ก็ค่อยๆ ตัดช้อยส์ออกไป เราอาจจะรู้ตัวเองตอนอายุ 32 แต่มันก็ไม่ได้สายเกินไป” เขาบอก
และย้ำว่า สำหรับใครที่อยากเป็นยูทูบเบอร์ ไม่ใช่ให้ทุกคนเดินตามสไตล์เขา แต่ขอให้ค้นให้เจอว่า ตัวเองเก่งเรื่องอะไร
“ทุกคนเป็นคนเก่งหมด นี่ไม่ได้พูดให้เกิดกำลังใจนะครับ แต่ทุกคนมีความเก่งของตัวเอง บางคนเก่งทำอาหาร บางคนเก่งก่อสร้าง เก่งตัดไม้ อะไรก็แล้วแต่ คุณต้องหาตัวเองให้เจอ”
ทำคลิปให้ปัง ต้องทำอย่างไร
สำหรับใครที่อยากเป็น “คอนเทนต์ ครีเอเตอร์” เขาเปรียบเทียบอย่างง่ายๆ ว่า ไม่ต่างอะไรกับการทำรายการโทรทัศน์
“ถ้าเป็นสมัยก่อน ก็เหมือนคุณได้เวลาจากช่องเจ็ด ช่องสาม ช่องนนทรีย์อะไรก็ได้ ซึ่งคุณต้องไปซื้อเวลาเขามา แต่ปัจจุบันไม่ต้องแล้ว คุณได้แอร์ไทม์มาฟรีๆ หน้าที่ของคุณ คือ ต้องทำรายการให้มันดี ให้มันมีคนดู”
“ทุกคนที่ทำคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นคลิป เป็นภาพนิ่ง จะเขียนบรรยาย เป็นแคปชั่น หรือบทความอะไรก็แล้วแต่ ขอให้รู้ไว้ว่า คุณกำลังไปขอ ‘เวลา’ ของคน
แล้วเวลาเป็นต้นทุนที่แพงที่สุด เรากำลังไปขอสิ่งที่มีค่าที่สุดของคนคนหนึ่ง เราจะไปขอฟรีๆ ไม่ได้ ต้องเอาอะไรไปแลก เพราะฉะนั้น ในคอนเทนต์ของคุณ คุณจะต้องให้อะไรสักอย่างหนึ่งเสมอ อะไรก็ได้ ความสุข ความสนุก สาระ ฯลฯ”
เขาแนะนำว่า สำหรับใครที่อยากจะสร้างงานให้ประสบความสำเร็จ ขอให้เข้ายูทูบแล้วไปศึกษาวิธีใช้กล้อง วิธีทำซาวด์ วิธีมูฟเมนต์
“เข้าไปดูงานเยอะๆ หลายๆ แชนแนล ไปดูวิดีโอที่มียอดวิวเยอะๆ แล้วแกะออกมาว่า ทำไมถึงสำเร็จ อย่าดูเอาเพลิน ดูไป 7 รอบ 8 รอบ แกะงานเขา แล้วนำเอาวัตถุดิบเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับงานของเรา”
“ผมทำงานด้วยพลังเนกกาทีฟ.. ถ้าใครมาคุยกับผมในเรื่องงาน อย่าหวังพลังบวกกลับไป ผมจะไม่ใช่คนประเภทบอกว่า …เฮ้ย เราทำได้! ตอนเช้า ขอให้คุณพูดคำเดียวว่า วันนี้จะเป็นวันที่ดีของเรา
ทำไมจะต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ ถ้าคุณไม่ได้ฝึกฝนอะไร ผมจะบอกเสมอว่า คุณต้องคิดเพื่อป้องกันเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น
ทุกวันนี้เวลาผมดูงานตัวเอง จะนั่งดูซ้ำ ดูซาก แล้วถามตัวเองว่า มันสนุกหรือยัง มันดีหรือยัง!”