หลายคนคงตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การลอบวางระเบิด การดักจี้ชิงปล้น หรือแม้แต่การฆาตกรรมกลางกรุง เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนแต่สร้างความแตกตื่น จนทำให้เกิดคำถามถึงความปลอดภัยในการใช้ชีวิตภายในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ที่อาจกล่าวได้ว่าเพียบพร้อมด้วยระบบที่ดีที่สุดในประเทศไทย
ทว่าทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์มักจะพบความผิดพลาดบางประการที่เป็นตัวการสำคัญในการตามหาตัวผู้กระทำความผิด ทั้งกล้องวงจรปิดพัง ภาพไม่คมชัด มุมกล้องไม่ได้ หรือแม้แต่มองไม่เห็นเมื่อแสงค่อนข้างน้อย ทั้งที่หากอุปกรณ์สมบูรณ์ผสานระบบการเชื่อมโยงที่ทันสมัย เจ้าหน้าที่อาจสามารถป้องกันเหตุการณ์เหล่านั้นได้ทันท่วงทีก่อนจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้น
ในอดีตสถานการณ์เหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น เนื่องจากสังคมมีความยึดเหนี่ยวเกาะเกี่ยวกันเหนียวแน่น เรียกได้ว่าใครเห็นอะไรมีพิรุธก็สามารถส่งต่อข้อมูลเหล่านั้นไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้ทราบได้ทันท่วงที หรืออาจจะเข้าไปจรวจสอบเบื้องต้นก่อน แต่ในปัจจุบันเมื่อสังคมหลวมมากขึ้นไม่เกาะเกี่ยวเหนียวแน่นเมืองเดิม เทคโนโลยีจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเข้ามาทดแทน
Smart City จึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่ถูกจักตามองอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจาก Smart City ไม่ใช่เพียงแค่การใช้เครื่องมือใหม่ๆ หากแต่มันคือระบบที่มีการเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันในหลายๆ ภาคส่วน ภายใต้การแชร์ข้อมูลเพื่อให้การทำงานของ AI มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หรือพูดง่ายๆ AI จะทำการตรวจสอบจากข้อมูลทุกแหล่งเพื่อประมวลผลที่แม่นยำที่สุด
ยกตัวอย่างเรื่องสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หากมีระบบ Smart City ที่ดี เมื่อกล้องวงจรปิดจับภาพการกระทำที่มีพิรุธ AI จะปรับโฟกัสไปที่จุดๆ นั้นเพื่อตรวจสอบและคาดการณ์ว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำที่ต้องสงสัยหรือไม่ หากต้องสงสัยจะมีการแจ้งเตือนไปยังสถานีตำรวจท้องที่เพื่อให้เข้าไปตรวจสอบ ขณะที่ AI จะทำการสแกนใบหน้า (Facial Recognition) ผู้กระทำการพิรุธเพื่อเปรียบเทียบกับฐานข้อมูล
แน่นอนว่าต้องการอำพรางใบหน้าไว้เพื่อไม่ให้ถูกระบุตัวตนได้ แต่ประสิทธิภาพของ AI จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถพุ่งเป้าไปยังผู้ต้องสงสัยได้อย่างตรงจุด โดยในประเทศจีนมีการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสวมแว่นตาพิเศษที่จะช่วยสแกนใบหน้าของผู้ที่ต้องสงสัย โดยจะมีการระบุชื่อบุคคลนั้น ที่อยู่ หมายเลขบัตรประชาชน และหากมีคดีความหรือมีหมายจับ ระบบจะทำการแจ้งเตือนทันที แม้จะมีการอำพรางใบหน้า ระบจะแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบอย่างระเอียดอีกครั้งหนึ่ง
ไม่เพียงเท่านี้ AI ยังสามารถประมวลผลคาดการณ์เส้นทางการเดินทางของผู้ต้องสงสัยได้อีกด้วย และระบบยังสามารถประสานไปยังเจ้าหน้าที่ท้องที่ให้สามารถสกัดจับกุมผู้ต้องหานั้นๆ ได้ นอกจากจะช่วยให้สามารถดำเนินการจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ ยังสามารถนำข้อมูลของระบบ AI ที่บันทึกไว้ตลอดเวลามาเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีความได้อีกด้วย
ไม่เพียงแต่ระบบความปลอดภัยสาธารณะเท่านั้น แต่ Smart City ยังรวมไปถึงระบบการจราจรที่ AI จะประมวลผลการควบคุมไฟจราจรเพื่อให้สามารถลดปัญหาการจราจรลงได้ นอกจากนี้ Smart City ยังช่วยเสริมสร้างศักยภาพของเมืองได้อีกด้วย ทั้งระบบ Smart Environment ที่จะช่วยเตือนคนกรุงว่า ปัจจุบันค่ามลพิษพื้นที่ใดอยู่ในระดับใด เพื่อช่วยให้แต่ละพื้นที่มีการปรับให้คุณภาพสิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับที่ดี เป็นต้น
เห็นได้ชัดว่า Smart City คือเทคโนโลยีสำหรับเมืองที่มีขนาดใหญ่จนยากในการดูแลและสอดส่องปัญหา ซึ่งเมืองที่เป็น “มหานคร” ใหญ่ๆ ทั่วโลก ต่างพยายามพัฒนาเทคโนโลยี Smart City อย่างมากมาย มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีส่วนช่วยให้เมืองมีความน่าอยู่และปลอดภัยมากขึ้น
แล้ว “กรุงเทพ” พร้อมที่พร้อมที่จะเป็น “มหานคร” แล้วหรือยัง???
Copyright©MarketingOops.com